ตอนที่ 20
ตอนที่ 20 ดีขึ้น
“ท่านย่าอย่าเพิ่งร้อนใจไป หลานจะไปเรือนท่านหมอหม่าเฝ้าท่านปู่เอง” เจินฮ่วนเอ่ยปาก
ฮูหยินผู้เฒ่าทราบว่าตนมิอาจไม่คุมสติ จึงพยักหน้า “ดี เฮ่าเกอเจ้าไปเถิด เอาคนและเงินไปมากหน่อย มีเรื่องด่วนอันใดส่งคนมารายงานด้วย”
“ฮูหยินผู้เฒ่า ข้าขอไปกับพี่ฮ่วนด้วยขอรับ” เจี่ยงเฉินเอ่ย
ทุกสายตามองคนทั้งสองเดินออกไป ภายในห้องเงียบสงัดลงทันใด งานเลี้ยงอาหารค่ำวันนี้ นางไม่มีใจอยากจะเริ่มมันเสียเลย
ผ่านไปนาน ฮูหยินผู้เฒ่าจึงเอ่ยถามด้วยความโมโหอย่างมิอาจอดกลั้น “ผิงอาน นายท่านผู้เฒ่าไปได้ห่านมาจากที่ใด บาดเจ็บแล้วยังพาไปรักษาอีก นี่มิใช่เรื่องเหลวไหลหรืออย่างไร เจ้าก็ไม่ห้ามปรามเลยหรือ”
ผิงอานรู้สึกไม่ยุติธรรมอย่างยิ่ง แข็งใจเอ่ยไปว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าอาจมิทราบ อากุ้ยเป็นห่านที่นายท่านผู้เฒ่าดั้นด้นไปซื้อที่บึงเฟิงเหอเพื่อใช้ในการแข่งชนห่านโดยเฉพาะขอรับ ราคา...ราคาหนึ่งร้อยตำลึงขอรับ”
ฟังถึงประโยคนี้ สีหน้าของคนทั่วทั้งห้องต่างย่ำแย่
สัตว์ชนิดหนึ่งที่เรียกว่าเฉ่าหนีหม่า1 แกว่งไกวไปมาตรงหน้าคนทั้งหลาย ทีละคนๆ
โดยเฉพาะนางหลี่ นางแทบจะร้องไห้ออกมาแล้ว
คุณชายในจวนปั๋วทุกคนแต่งภรรยา หากเป็นบุรุษต้องใช้เงินสองพันตำลึง สตรีที่ออกเรือนใช้หนึ่งพันตำลึง
จำนวนเงินนี้หากเทียบกับบรรดาผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายในเมืองหลวงไม่นับว่ามาก แต่ก็มิได้น้อย
[1เฉ่าหนีหม่า เป็นสัตว์ในตระกูลอูฐ ชื่อภาษาอังกฤษคือ Grass Mud Horse ซึ่งคล้ายตัวอัลปากาสัตว์หน้าตาทึ่มๆ และชื่อของมันก็พ้องเสียงกับภาษาจีนกับคำว่า 操你妈 (fuck your mother) คนจีนจึงนิยมนำตัวอัลปากามาเป็นสัญลักษณ์แทนค่า fuck your mother หากเป็นสัญลักษณ์รูปภาพจะเป็น(· ェ ·)(· Y ·)และ(·´ェ`·)]
ทว่านายท่านผู้เฒ่าถึงกับ...ถึงกับใช้เงินหนึ่งร้อยตำลึงซื้อห่านเพียงหนึ่งตัว!
อีกปีสองปีนี้ คุณหนูรอง คุณหนูสาม คุณหนูสี่ล้วนต้องออกเรือนแล้ว บุตรสาวฝาแฝดของนางเพิ่งจะสิบสองปี อีกสามสี่ปีก็จะออกเรือน แต่หากนายท่านผู้เฒ่ายังใช้จ่ายเช่นนี้ต่อไป มิต้องกล่าวถึงเงินที่หลานชายจะแต่งภรรยาแล้ว แม้แต่ห่านตัวหนึ่งยังซื้อไม่ได้!
ตาแก่นี่ ถูกม้าเตะตายไปเลยยังจะดีเสียกว่า!
นางหลี่ไม่กล้าเอ่ยปาก แต่กลับสาปแช่งอยู่ในใจไม่หยุด
คุณหนูทั้งหลายก็อารมณ์ไม่ใคร่ดีนัก
พวกนางมีฐานะเป็นคุณหนูของจวนปั๋ว เบี้ยประจำเดือนแค่สี่ตำลึง ห่านเพียงตัวเดียวของท่านปู่แพงกว่าเบี้ยประจำเดือนของพวกนางสองปีเสียอีก!
นี่มันเทียบอันใดกันมิได้เลยจริงๆ
“ฮูหยินผู้เฒ่า สะใภ้คิดว่าเราควรจะจัดการเรื่องในจวนให้เรียบร้อยก่อนเจ้าค่ะ ห่านล้ำค่าตัวหนึ่ง เหตุใดจึงถูกตีจนบาดเจ็บ ที่แท้เป็นบ่าวใจกล้าคนใด ท่านตรองดูเถิด หากไม่ใช่เพราะห่านล้ำค่าถูกตีจนบาดเจ็บ นายท่านผู้เฒ่าคงไม่ไปสำนักไท่พู หากไม่ไปสำนักไท่พูก็คงไม่ถูกม้าเตะจนสลบ ยามนี้เป็นตายมิชัดแจ้ง ข้าว่าคนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องร้ายๆ นี้ก็คือคนที่ทำร้ายห่าน พี่สะใภ้ใหญ่ ท่านว่าใช่หรือไม่”
นางเจี่ยงฟังแล้วโทสะยิ่งประทุในใจ วาจานี้ของนางหลี่นั้นกำลังบอกเป็นนัยว่านางดูแลจวนได้ไม่ดี
“น้องรองกล่าวไม่ผิด เพียงแต่เรื่องเร่งด่วนในตอนนี้ คืออาการบาดเจ็บของนายท่านผู้เฒ่า เรื่องอื่น วางไว้ก่อนค่อยว่ากันเถิด ฮูหยินผู้เฒ่า ท่านเห็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”
นางหลี่เบ้ปากตนคราหนึ่ง “พี่สะใภ้ใหญ่กล่าวเช่นนี้ก็ไม่ถูก อาการบาดเจ็บของนายท่านผู้เฒ่าย่อมเป็นเรื่องที่สำคัญ แต่การตรวจสอบเรื่องให้แน่ชัดก็สำคัญเช่นกัน มิเช่นนั้นวันนี้มันทำร้ายห่านตัวเดียว พรุ่งนี้ไม่แน่มันอาจทำร้ายคนก็เป็นได้ บ่าวรับใช้เช่นนั้นมิอาจปล่อยปละ”
กล่าวถึงตรงนี้ คล้ายคิดสิ่งใดขึ้นมาได้ จึงตบศีรษะตน “โอ๊ย หรือจะเป็นเด็กน้อยไม่รู้ความคนนั้นทำ! ”
เมื่อเอ่ยวาจานี้ออกมา สีหน้านางเจี่ยงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย
วาจานี้ของนางหลี่มีแผนร้ายแฝงอยู่ ควรต้องทราบว่าบ่าวไพร่ที่สามารถเข้าไปรับใช้ในสวนภายในได้นั้นล้วนได้รับการอบรมมาอย่างดี ไม่มีผู้ใดกล้าทำเรื่องชนิดนี้แน่ ว่าไปแล้วในบรรดาเจ้านายนั้น มีเพียงหันเกอของนางที่อายุน้อยและมีอุปนิสัยแบบเด็กๆ อยู่
วาจานี้ของนาง ชัดเจนว่าต้องการโยนความผิดทุกอย่างไปให้หันเกอมิใช่หรือ
ขณะกำลังรอว่าจะกล่าวสิ่งใด คุณหนูสามเจินจิ้งพลันเงยหน้าขึ้นเอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านแม่ ลูกอยากจะทำรองเท้าสักคู่ให้หันเกอมาตลอด วันนี้จึงไปหาเขา อยู่กับเขานานพอควรเจ้าค่ะ”
หันเกอที่นั่งอยู่ด้านข้างนางเจี่ยงไม่เข้าใจวาจาโต้แย้งของผู้ใหญ่ เมื่อได้ยินคำพูดของเจินจิ้งก็เอ่ยขึ้นว่า “ใช่ขอรับ พี่สามเหลือเกินจริงๆ วันนี้ข้ายังคิดจะไปดูพี่สี่ฝึกยุทธ์ในสวนสักหน่อย แต่ก็ทำให้ข้ามิได้ไป! ”
คนทั้งหลายจึงหันไปมองเจินเมี่ยวโดยทันที
มุมปากเจินจิ้งเคลือบด้วยรอยยิ้มจางๆ เอ่ยถามอย่างเป็นธรรมชาติว่า “น้องสี่ฝึกยุทธ์อยู่ในสวนตลอด มิเห็นสิ่งใดบ้างหรือ”
เจินเมี่ยวเม้มปากแน่น
นางก็ไม่ทราบว่าเรื่องเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร
หากไม่มีเรื่องหลังจากนั้น นางยังสามารถแสร้งทำเป็นไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นได้ ถ้าเทียบกับห่านตัวหนึ่งแล้ว แม้จะซื้อมาถึงหนึ่งร้อยตำลึง แต่นางยังคงรู้สึกว่าร่างกายของนางล้ำค่ากว่ามาก
ทว่าบัดนี้เจี้ยนอานปั๋วได้รับบาดเจ็บและอาจเสียชีวิตได้
นางยังจะหลบหลีกได้อีกหรือ
เจินเมี่ยวสับสนอยู่ในใจอย่างยิ่ง
นางทราบดีว่าหากตนยอมรับ ก็เท่ากับผลักตัวเองเข้าสู่คลื่นพายุหมุนอย่างไม่ต้องสงสัย แต่หากไม่ยอมรับก็ขัดกับกฎการเป็นคน ขณะกำลังลังเลอยู่นั้น นางอวี๋ก็กล่าวขึ้นว่า “ข้าขยับร่างกายมิค่อยสะดวก ฝึกได้ไม่นานก็กลับเรือนกับน้องสี่แล้ว จึงไม่เห็นสิ่งใดเลย”
“พี่สะใภ้กับพี่สี่มิได้กลับทางเดียวกัน พี่สี่ไปส่งพี่สะใภ้หรือไม่เล่า” เจินอวี้เอ่ยเสียงเย็น
“เอาเถิด นายท่านผู้เฒ่ายังมิทันฟื้น พวกเจ้าพูดเรื่องนี้พวกนี้เพื่ออันใดกัน ต้องการให้คนในจวนลงโทษกันเองงั้นหรือ! ” ฮูหยินผู้เฒ่ากวาดมองทุกคนอย่างเคร่งขรึมคราหนึ่ง
การล่มสลายของคนไม่น้อยล้วนเริ่มจากการแก่งแย่งภายใน ทุกวันมีเรื่องหงุดหงิดผิดใจกันบ้างระหว่างพี่น้องนั้นไม่นับเป็นอันใด ล้วนเป็นผู้มีประสบการณ์ เรื่องพวกนี้มีผู้ใดมิเคยผ่านมาบ้าง ทว่าเรื่องเกี่ยวพันถึงชีวิตของนายท่านผู้เฒ่า ทั้งยังเป็นเรื่องเหลวไหลเช่นนี้อีก ตรวจสอบชัดเจนแล้วอย่างไร มิใช่ยิ่งทำร้ายคนในตระกูลตนมากขึ้นไปเท่านั้น!
“พอแล้ว ไม่ว่าอย่างไรข้าวก็ยังต้องกิน ไป๋เสา บอกให้ยกอาหารเข้ามาเถิด ทุกคนล้วนอยู่ในความสงบ นายท่านผู้เฒ่าเป็นผู้มีบุญอย่างไรสวรรค์ย่อมคุ้มครอง” ฮูหยินผู้เฒ่าโบกสะบัดมือคราหนึ่ง
เป็นการกินอาหารที่เงียบสงบไร้สุ้มเสียงมื้อหนึ่ง ทุกคนกินเพียงไม่กี่คำก็นั่งรอข่าวอยู่เงียบๆ แล้ว
“นางอวี๋ เจ้ากำลังตั้งครรภ์ กลับไปพักผ่อนก่อนเถิด”
นางอวี๋ก้มหน้าต่ำ “ท่านย่า หลานสะใภ้ละอายแก่ใจเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าตบมือนางอวี๋ด้วยความรักและเมตตา “นี่เป็นวาจาใดกัน เจ้าตั้งครรภ์หลานที่เป็นสิ่งล้ำค่าของจวนปั๋ว การถนอมร่างกายจึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด”
นางอวี๋มองเจินเหยียน เจินเมี่ยวคราหนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ท่านย่า ยามนี้ท่านพ่อท่านแม่ล้วนมิอาจออกจากเรือน สามีก็ไปเฝ้าอาการป่วยท่านปู่ น้องทั้งสองก็เป็นสตรี ตามหลักของการเป็นหลานสะใภ้นั้นก็ไม่ควรจะสุขสบายอยู่เพียงคนเดียวเจ้าค่ะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าได้ฟังก็เงียบไปครู่หนึ่ง
เจินเหยียนจึงเอ่ยต่ออย่างระมัดระวังว่า “ท่านย่า ไม่สู้ท่านปล่อยท่านแม่ออกมาเถิด รอท่านปู่กลับมาพักฟื้นที่จวน ท่านแม่จะได้พาพวกเราไปเฝ้าดูแลท่านปู่”
“ใช่เจ้าค่ะ ฮูหยินผู้เฒ่า น้องสะใภ้สามยังสามารถช่วยงานสะใภ้ได้ด้วย อีกอย่าง งานมงคลของเหยียนเอ๋อร์ก็ใกล้เข้ามาแล้ว” ฮูหยินใหญ่สกุลเจี่ยงเอ่ยขึ้น
นางดูออกแล้วว่านางหลี่ไม่มีอันใดทำจึงคอยหาเรื่องนาง ไม่มีสะใภ้สามอยู่จึงคอยจ้องแต่จะหาเรื่องบ้านใหญ่ ให้เป็นเช่นแต่ก่อนน่าจะดีกว่า
เงียบอยู่เป็นนาน ในที่สุดฮูหยินผู้เฒ่าก็พยักหน้ารับ
หลังจากนั้นเจ็ดวัน นายท่านผู้เฒ่าก็นั่งเกี้ยวกลับมาที่จวนได้แล้ว ภายในเกี้ยวนั้นยังมีห่านที่คึกคักยิ่งตัวหนึ่งตามมาด้วย
คนของบ้านสามจึงไปเฝ้าดูแลอาการอยู่ไม่ห่าง
เมื่อทราบว่านายท่านผู้เฒ่ามิได้เป็นอันตรายถึงชีวิต เจินเมี่ยวจึงผ่อนหายใจโดยแรงออกมาได้ นางเคี่ยวโจ๊กน้ำแกงไก่อย่างอดทน และส่งไปเรือนหนิงโซ่วทุกวัน
รอกระทั่งนายท่านผู้เฒ่าค่อยๆ สดใสขึ้น เมื่อดื่มโจ๊กน้ำแกงไก่จนหมดแล้ว ก็ทำปากจุบจิบอย่างเอร็ดอร่อยแล้วเอ่ยกับฮูหยินผู้เฒ่าว่า “จวนเราเปลี่ยนแม่ครัวแล้วหรือ รสชาติทั้งอร่อยทั้งดีต่อสุขภาพ”
เมื่อมองเจี้ยนอานปั๋วที่อ้วนขึ้นเป็นกอง ฮูหยินผู้เฒ่าจึงผ่อนลมหายใจออกมาได้ นางเอ่ยว่า “แม่ครัวอันใด นี่เป็นโจ๊กน้ำแกงไก่ที่เจ้าสี่ทำต่างหาก”
“เจ้าสี่ทำหรือ...” เจี้ยนอานปั๋วลากเสียงยาวพลางครุ่นคิด จึงพบว่าตนล้วนนึกหน้าของหลานหลายคนไม่ออกแล้วก็อดยิ้มเยาะมิได้ “เจ้าสี่ช่างกตัญญูนัก ให้นางมาหาข้าหน่อย ดูสิว่าควรจะตกรางวัลใดให้นางดี”