icon member

วาสนาบันดาลรัก

ตอนที่ 2

ตอนที่ 2 พลาด

ยามนี้เป็นเวลากลางวัน แต่บรรยากาศภายในจวนเจี้ยนอานปั๋วกลับดูอึมครึม หญิงรับใช้ที่สวมเสื้อกั๊กยาวปี๋จย่าสีเขียวครึ้มเดินเข้าออกขวักไขว่ ต่างเดินด้วยฝีเท้าอันแผ่วเบา

ถ้วยชาลายบุปผาหลากสีในมือฮูหยินผู้เฒ่าถูกปัดตกลงไปบนพื้น เอ่ยด้วยปากคอสั่นว่า “ไปนำตัวอัปรีย์นั้นมาหาข้า!”

 สตรีวัยสี่สิบสวมใส่กระโปรงหรูอี้[1] ลายบุปผาขจรสีม่วงเข้มซึ่งยืนอยู่ด้านข้าง สีหน้าเขียวคล้ำ คิดจะเอ่ยปากเตือน ทว่ากลับเม้มริมฝีปากไว้แน่น

นางเป็นสะใภ้ใหญ่ของฮูหยินผู้เฒ่า เป็นภรรยาของซื่อจื่อ ตามกฎแล้วเมื่อฮูหยินผู้เฒ่ามีโทสะ นางควรเอ่ยห้ามปราม ทว่าคุณหนูสี่นั้นก่อเรื่องอับอายอย่างที่สุดจริงๆ ยามนี้ในจวนมีเด็กสาวที่ยังมิได้ออกเรือนอยู่ห้าคน เมื่อนางก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้นมา ชื่อเสียงของจวนเจี้ยนอานปั๋วต้องป่นปี้ เด็กสาวคนอื่นๆ ย่อมได้รับผลกระทบในเรื่องการแต่งงานไปด้วย

ในฐานะที่นางเป็นภรรยาของซื่อจื่อ เมื่อในจวนเกิดเรื่องเช่นนี้ แม้มิใช่ครอบครัวของนาง แต่ไหนเลยจะมีหน้าเหลืออยู่ได้ ในใจจึงรู้สึกแค้นเคืองคุณหนูสี่ผู้ไร้กฎเกณฑ์ เมื่อมองไปที่ฮูหยินสามซึ่งสวมชุดกระโปรงสีชมพูรากบัว ใบหน้าก็เย็นชามากขึ้นไปอีก

ฮูหยินสามนางเวินคุกเข่าลงบนพื้นเสียงดังตึง แต่กลับมิได้ร้องไห้คร่ำครวญอย่างที่ฮูหยินทั่วไปมักกระทำ นางโขกศีรษะหนักๆ คราหนึ่ง เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบว่าหน้าผากมีรอยเขียวช้ำเป็นวง “ฮูหยินผู้เฒ่า ตัวอัปรีย์นั้นแต่ไหนแต่ไรก็เอาแต่เล่นสนุกตามใจ เมื่อก่อภัยพิบัติเช่นนี้ขึ้นมา ถึงตีให้ตายก็ไม่มีสิ่งใดไม่ควร รอนางฟื้นสติ สะใภ้จะรีบนำตัวมารับโทษทันที เพียงแต่นางเพิ่งตกน้ำไป น้ำในเดือนสามช่างหนาวเย็น ยามนี้คนยังมิได้สติเลยเจ้าค่ะ” 

เมื่อฮูหยินสาวรุ่นอีกผู้หนึ่งซึ่งสวมชุดกระโปรงจีบรอบสีขาวนวลได้ยินเช่นนั้นก็แค่นยิ้มเอ่ยว่า “น้องสามพูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก อันใดคือเล่นสนุกตามใจ คุณหนูสี่ปีนี้อายุสิบสี่แล้ว หากบอกว่ามีความคิดเป็นอื่นกลับจะจริงเสียกว่า...”

“หุบปาก! ” ฮูหยินผู้เฒ่ากวาดตามองไปด้วยสายตาเย็นเยียบ

ฮูหยินรองนางหลี่หยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นปิดหน้า น้ำเสียงสะอึกสะอื้น “ฮูหยินผู้เฒ่า วันนี้ท่านต้องจัดการเรื่องนี้อย่างเที่ยงธรรม คนทั้งเมืองหลวงล้วนจับจ้องอยู่ หากปล่อยปละ ต่อไปคุณหนูตระกูลเราจะพบหน้าผู้อื่นได้อย่างไร”

กล่าวถึงตรงนี้ในใจก็ยิ่งแค้น ฮูหยินผู้เฒ่าของเจี้ยนอานปั๋วมีบุตรชายสามคน บุตรสาวคนแรกของบุตรชายคนโตได้ออกเรือนไปแล้ว เหลือเพียงบุตรสาวของอนุภรรยาที่หมั้นหมายแล้ว บุตรชายคนที่สามมีบุตรสาวสองคน คนโตก็หมั้นหมายแล้ว ส่วนตัวอัปรีย์นั้นมิต้องกล่าวถึงเลย สงสารก็แต่บุตรสาวฝาแฝดอายุเพียงสิบสองปีของนางที่ต้องพลอยลำบากไปด้วยเพราะเรื่องนี้

นางนั้นเป็นภรรยาเอกคนที่สอง จึงฐานะต่ำต้อยกว่าผู้อื่น นางทุ่มเทจิตใจเลี้ยงดูบุตรสาวเต็มที่แต่กลับถูกเด็กไร้ยางอายทำร้ายจนได้

“ไปเอาตัวคุณหนูสี่มา” ฮูหยินผู้เฒ่าสั่งการแม่นมหวังที่ยืนอยู่ด้านหลังตน

ฮูหยินสามที่คุกเข่าอยู่นั้นหน้าซีดทันที แต่ทราบดีว่าฮูหยินผู้เฒ่าที่แต่ไหนแต่ไรมักอารมณ์ดีเสมอนั้น หากตัดสินใจทำสิ่งใดแล้วก็ยากจะคัดค้านได้โดยง่าย

ฮูหยินรองแค่นยิ้มเย็นชา ลอบมองนางเวิน

‘ต่อให้เจ้าจะร้ายกาจเพียงใด แต่เมื่อมีบุตรสาวเช่นนี้ก็ได้แต่ยอมรับชะตากรรมแล้ว วันเวลาข้างหน้าคงได้เห็นผลแน่’

ไม่นาน แม่นมหวังก็กลับมา สาวใช้สองคนด้านหลังกำลังคุมตัวคุณหนูสี่เจินเมี่ยวเอาไว้

“ฮูหยินผู้เฒ่า คุณหนูสี่มาแล้วเจ้าค่ะ” แม่นมหวังพูดจบก็กลับไปยืนด้านหลังฮูหยินผู้เฒ่าเช่นเดิม

ฮูหยินผู้เฒ่ามองเจินเมี่ยวแวบหนึ่ง

นางใส่เสื้อเอ่า[2] สีชมพูอ่อน ส่วนล่างเป็นกระโปรงหม่าเมี่ยน[3]  คาดว่าน่าจะอาบน้ำมาแล้วแต่มิได้เกล้าผม เส้นผมดำขลับเต็มศีรษะนั้นใช้เพียงสายรัดมัดไว้หลวมๆ เท่านั้น จึงขับให้ใบหน้าเล็กๆ ยิ่งขาวซีดมากขึ้นไปอีก

“ตัวอัปรีย์ ยังไม่คุกเข่าลงอีก!” ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นเจินเมี่ยวยืนนิ่งอยู่เช่นนั้นก็ยิ่งมีโทสะ

ฮูหยินรองนางหลี่ปิดปากหัวเราะ “เอ๊ะ น้องสามมิใช่บอกว่าคุณหนูสี่ยังสลบไม่ได้สติหรอกหรือ ดูท่าทางแล้วกลับมีสติดีทุกอย่าง คล้ายว่ามิเคยตกน้ำมาก่อนกระนั้น...”

ถ้วยชาสีชมพูหลากสีสันถูกขว้างออกไป “นางหลี่ หากเจ้ายังจะพูดมากอีก ก็ออกไปให้พ้นหน้าข้าเสีย!”

 นางหลี่ใบหน้าขึ้นสีแดงเข้ม แต่กลับมิกล้าเอ่ยปากอีก

ฮูหยินใหญ่หยักยกมุมปากขึ้น 

เป็นบุตรสาวของอนุภรรยา...ถึงอย่างไรก็แค่พวกฉลาดไร้ความเฉลียว อย่ามองว่าปกติฮูหยินผู้เฒ่ามักกินเจสวดมนต์ ใบหน้าเปี่ยมเมตตา เหล่าบุตรหลานมีปากเสียงกระทบกระเทียบก็มิได้ต่อว่าอันใด แต่เมื่อเกิดเรื่องที่สร้างความเสื่อมเสียให้กับวงศ์ตระกูลกลับเป็นพยัคฆ์สำแดงฤทธิ์ หากมิหลบซ่อนทั้งยังเข้าไปกระตุกหนวดอีก คนผู้นั้นก็มีเพียงสี่คำ ‘รนหาที่ตาย’

หากกระตุกเพียงหนึ่งครั้งแล้วมิหนำใจยังเข้าไปกระตุกอีก เช่นนั้นก็เป็นเจ็ดคำ  ‘ตายจนมิอาจตายได้อีก’

เจินเมี่ยวยังคงมึนงงมิใคร่มีสตินัก

เมื่อครู่ก่อนนี้ ตนเพิ่งจะกลับมาจากท่องเที่ยว ตอนที่เรียกรถกลับบ้านนั้น คิดไม่ถึงว่าคนขับรถจะเห็นตนยังโสดจึงคิดทำมิดีมิร้าย ตนขัดขืนจึงถูกบีบเข้าที่ลำคอ ทำไมเมื่อลืมตาขึ้นถึงกลายมาเป็นคุณหนูสี่สกุลเจินไปแล้วเล่า

ความทรงจำของคุณหนูสี่สกุลเจิน ตนกลับมีมันอยู่ทั้งหมด แต่ยังมิทันได้รื้อฟื้นให้ครบถ้วนก็ถูกนำตัวมาที่นี่แล้ว เรื่องนี้ต่อให้เป็นผู้ฉลาดหลักแหลมเพียงใดเมื่อต้องโผล่เข้ามาแบบนี้ อย่างไรก็ต้องมึนงงแน่  ยิ่งมิต้องพูดถึงการทักษะการสู้รบตบมือที่เป็นศูนย์ของตนเลย

ได้ยินเสียงอันดุดันของฮูหยินชราผมขาวที่นั่งตรงตำแหน่งประธานบอกให้ตนคุกเข่า เจินเมี่ยวก็ระลึกถึงเรื่องที่ร่างเดิมนี้ได้ทำไว้ จึงตัดสินใจวางศักดิ์ศรีไว้อีกฟากหนึ่งไปชั่วครู่

คุกเข่าก็คุกเข่าสิ หากต้องถูกกักขังในกรงสุกรทั้งที่เพิ่งฟื้นขึ้นมา คงเสียเปรียบตายแน่แล้ว

เพียงแต่ร่างนี้คล้ายไม่เชื่อฟังคำสั่ง เข่าของเจินเมี่ยวโค้งงอลง แต่แรงกลับไม่เป็นดั่งใจ

กำลังร้อนใจก็เห็นฮูหยินที่คุกเข่าอยู่ด้านข้างลุกเดินเข้ามาดุจลูกธนู ยกเท้าขึ้นเตะใส่หัวเข่าของตน

เสียง พลั่ก ดังขึ้น เจินเมี่ยวคุกเข่าลงบนพื้นอย่างแรง

เพล้งเพล้ง! เป็นเสียงของแก้วสองใบที่แตกกระจายเต็มร่างของเธอ เศษกระเบื้องตกแตกเต็มพื้นไปหมด

ฮูหยินสามนางเวินคิดจะยืนขวางอยู่หน้าเจินเมี่ยว ร่างขยับน้อยๆ แต่ก็ฝืนกายตนไว้ได้

ฮูหยินรองนางหลี่เกรงว่าจะกระเด็นมาโดนตนจึงหลบหลีกพัลวัน

เห็นเจินเมี่ยวคุกเข่าตัวตรงเช่นนั้น โทสะในใจของฮูหยินผู้เฒ่าก็ค่อยๆ คลายลง ลอบกล่าวในใจว่าเด็กสาวสามารถสงบเยือกเย็นได้ถึงเพียงนี้ เหตุใดวันนี้ถึงทำเรื่องเหลวไหลเช่นนั้นได้เล่า

หากเจินเมี่ยวทราบความคิดของฮูหยินผู้เฒ่าคงได้แต่ยิ้มขื่น นางถูกมารดาแท้ๆ เตะเสียจนตาลายไปหมด มิใช่ไม่อยากหลบ แต่เพราะปฏิกิริยาตอบรับเชื่องช้าไปมากจริงๆ 

“เจ้าสี่ เจ้ายังมีอันใดจะกล่าวอีก ” เสียงดังลอยมาจากเบื้องบน

เจินเมี่ยวนิ่งคิดในใจ คำพูดนี้คล้ายคำถามก่อนตายของนักโทษประหารอย่างยิ่ง ‘คุณมีอะไรจะสั่งเสียอีกไหม ถ้าไม่มีก็ไปเถิด’

ชาติก่อนของเจินเมี่ยวนั้น ฐานะครอบครัวถือว่าไม่เลว พอเรียนจบก็แบกเป้เที่ยวเล่นกินดื่มไปรอบโลก แม้แต่การชิงดีชิงเด่นกันในออฟฟิศก็ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน

อาจมีหญิงสาวคนอื่นที่ทะลุมิติมาแล้วสามารถทำตัวเป็นเครื่องสู้รบเพื่อตบตีกับคนในบ้านได้ แต่ตนคงเป็นได้เพียงแม่ไก่แก่เท่านั้น

เมื่อสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงเย็นชากดดันที่ลอยมาจากเบื้องบน ในหัวของเจินเมี่ยวก็หยุดชะงักทันที ทำได้เพียงยกมือขึ้นสูงแล้ววางทาบลงบนพื้น โขกศีรษะเสียงดังไปหลายครั้ง “ท่านย่า หลานสำนึกผิดแล้วว่าไม่ควรห่วงแต่เล่นสนุกจนวิ่งไปที่สะพานนั้น ทำให้เกิดเรื่อง สร้างความอับอายแก่วงศ์ตระกูล” 

มองหลานสาวที่หมอบราบกับพื้นไม่ขยับเขยื้อนนั้นแล้ว หัวใจของฮูหยินผู้เฒ่าก็สับสนเป็นอย่างยิ่ง ผ่านไปนานจึงเอ่ยว่า “เจ้าสี่ เจ้าเงยหน้าขึ้นพูดเถิด”

เจินเมี่ยวค่อยๆ เงยหน้าขึ้น ดวงตากระจ่างปริ่มหยาดน้ำนั้นเงยมองไปที่ฮูหยินผู้เฒ่า “ท่านย่า หลานผิดไปแล้ว ท่านจะตีจะทำโทษเช่นไรก็ย่อมได้ เพียงแต่อย่าได้มีโทสะจนกระเทือนถึงสุขภาพเท่านั้น”

ดวงตาคู่นี้ของนางช่างงามนัก นัยน์ตาดำขลับกว่าคนทั่วไป เมื่อจ้องมองคนด้วยแววอันไร้ซึ่งความคิดซับซ้อน ก็คล้ายดั่งน้ำพุสะอาดใสที่ไหลออกมาจากใจคนมิปาน

ฮูหยินผู้เฒ่าอดใจอ่อนยวบมิได้ กระทั่งตนยังเกิดความสงสัยว่า หรือที่เจ้าสี่ตกน้ำครานี้จะเป็นเพียงความบังเอิญ?

ทว่าเมื่อคิดถึงเจินเมี่ยวที่แต่ไหนแต่ไรมักชอบแก่งแย่งเอาชนะ เล่ห์เหลี่ยมมากหลาย ก็ได้แต่กดข่มความคิดนั้นไว้ เอ่ยปากพูดเนิบนาบว่า “เจ้าสี่ เจ้าคงรู้ดีว่าชื่อเสียงของสตรีนั้นสำคัญเพียงใด ไม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นอุบัติเหตุก็ดี หรือมีเจตนาก็ช่าง คนทั่วหล้าล้วนตัดสินเจ้าหมดแล้ว เหล่าพี่น้องของเจ้าก็ล้วนต้องพลอยลำบากไปเพราะเจ้าด้วย”

“เจ้าค่ะ” เจินเมี่ยวก้มหน้าต่ำ รู้สึกหดหู่สิ้นหวังยิ่ง

สิ่งที่ร่างเดิมเหลือไว้ให้นางก็คือทางตันโดยแท้

ต่อจากนี้เกรงว่าฮูหยินผู้เฒ่าคงให้นางแขวนคอหรือไม่ก็ถ่วงน้ำ เลือกเอาหนึ่งในสองนี้แน่แล้ว

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่เจ้าต้องเผชิญนั้นก็ไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว...”

“ฮูหยินผู้เฒ่า...” ฮูหยินสามนางเวินมิสนใจสิ่งใดอีกแล้ว นางกระโจนเข้าไปคุกเข่ากอดขาฮูหยินผู้เฒ่าไว้ “สะใภ้ขอท่านโปรดเมตตา เมี่ยวเอ๋อร์นาง นางอายุเพียงสิบสี่เท่านั้น ขอท่านโปรดไว้ชีวิตนางด้วยเถิด”

“สะใภ้สาม เจ้ามิจำเป็นต้องขอร้องแทนบุตรสาวแล้ว เอาตัวคุณหนูสี่ออกไป”

หญิงรับใช้สองคนขยับขึ้นหน้า คุมตัวเจินเมี่ยวเดินออกไปด้านนอก หนึ่งในนั้นไม่ระวังปัดไปถูกลำคอของนางเข้า

ร่างทั้งร่างพลันสั่นสะท้าน ลมเย็นเยียบพุ่งขึ้นมาจากก้นบึ้งของจิตใจ

ในหัวนางปรากกฎภาพชายผู้นั้นที่สองมือหยาบกร้านบีบกุมลำคอของตนแน่นไม่ยอมปล่อยขึ้นมาอย่างมิอาจห้ามได้ ยิ่งบีบยิ่งรัด กระทั่งต่อมาภาพทุกอย่างก็เลือนรางและเปลี่ยนเป็นหน้าของคนอีกผู้หนึ่ง

เจินเมี่ยวพลันรู้สึกหายใจไม่ออก มีเพียงความคิดเดียวในหัว ต้องหนี!

นางพลันลุกขึ้นยืนแล้วพุ่งทะยานไปด้านนอก

เวลานี้เอง การกระเสือกกระสนที่จะมีชีวิตอยู่นั้นเป็นความสามารถของมนุษย์ ส่วนที่ว่าเด็กสาวคนหนึ่งคิดหนีจากบ้านของตนไปที่ใด หรือหนีออกไปแล้วจะดำรงชีวิตอยู่เช่นไร ปัญหาอันลึกซึ้งเช่นนี้นั้น อย่าได้ล้อเล่นเลย คนธรรมดาสักกี่คนที่พบเจอกับความเป็นความตายเช่นนี้แล้วยังจะไปใคร่ครวญคิดถึงเรื่องเหล่านั้นอยู่ได้

เพียงแต่เจินเมี่ยวเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งแรก แม้จะได้รับความทรงจำของร่างเดิม แต่ก็ยังมิค่อยคุ้นชินอยู่บ้าง โรคหลงทิศของตัวโง่งมนี้จึงกำเริบขึ้นมาอีก เดิมคิดจะกระโจนออกด้านนอก แต่กลับพุ่งผิดทิศทาง วิ่งชนเข้าที่เสาต้นหนึ่งอย่างจัง

“รีบขวางนางไว้! ” ฮูหยินผู้เฒ่าโพล่งออกไปพลันหยัดกายลุกขึ้น

ฮูหยินรองนางหลี่กรีดร้องขึ้นมา

ฮูหยินสามนางเวินกระโจนเข้ากอดขาเจินเมี่ยวไว้เร็วยิ่งกว่าตอนเตะขานางเสียอีก

ชาติก่อนนั้นเจินเมี่ยวนับเป็นนักท่องเที่ยวผู้สมบุกสมบัน สุขภาพถือว่าดีมาก ทั้งยังเคยเรียนศิลปะป้องกันตัวมาบ้างเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าตนกำลังจะชนเข้ากับเสา จึงบิดลำตัวเตรียมยกเท้าขึ้นเพื่อหลบเลี่ยงอันตรายที่มาเยือนอย่างกะทันหันนี้

คิดไม่ถึงว่าเท้าที่ยังไม่ทันได้ยกขึ้นนั้นจะถูกฮูหยินสามกอดไว้พอดี

ได้ยินเพียงเสียงดังโป๊ก เด็กสาวผู้โชคร้ายก็ได้ชนเข้ากับเสาต้นนั้นแล้ว

ก่อนที่จะหมดสติไป ในหัวมีเพียงความคิดหนึ่งปรากฏขึ้น

ท่านแม่ ท่านแน่ใจหรือว่ามิได้เจตนาฉวยโอกาสกำจัดข้า

------

[1] กระโปรงหรูอี้ เป็นกระโปรงยาว ไม่บานและไม่รัดรูปเกินไป มีหลากหลายลาย

 [2] เสื้อเอ่า เป็นเสื้อที่นิยมใส่ทั่วไปในฤดูหนาว โดยมากแขนเสื้อมักไม่กว้างนักเพื่อป้องกันความหนาว มีทั้งแบบยาวและสั้น

[3] กระโปรงหม่าเมี่ยน เป็นเครื่องแต่งกายจีนโบราณ ประเภทกระโปรงจับจีบ ตัดเย็บด้วยผ้ามันวาว สวมโดยการพันรอบเอว ต่างจากกระโปรงทั่วไปคือกระโปรงหม่าเมี่ยนมีผ้าผืนหลักที่ไม่จับจีบปิดทั้งด้านหน้าและด้านหลังกระโปรง ผ้าหลักผืนดังกล่าวอาจปักลายสวยงามให้เห็นเด่นชัดหรือจะเป็นลายเดียวกับรอบๆ ชายกระโปรงก็ได้ ทั่วไปแล้วกระโปรงชนิดนี้มักสวมใส่กับเสื้อที่เรียกว่า “เอ่า”(袄) รวมเรียกว่า เอ่าฉวิน (袄裙)

วาสนาบันดาลรัก

ละครแนะนำ

ข่าวละครวันนี้ดูทั้งหมด