ตอนที่ 16
ตอนที่ 16 ห่าน
“น้องสี่ วันนี้ฝึกแค่นี้ก่อนเถิด” ในสวนที่เต็มไปด้วยหมู่บุปผางาม นางอวี๋นั่งอยู่บนเก้าอี้หวายใต้ร่มไม้ โบกพัดกลมไปมาเป็นระยะๆ
เจินเมี่ยวสวมชุดขี่ม้าสีเขียวแสนปราดเปรียวกำลังฝึกย่อเข่า แม้จะหลบอยู่ภายใต้ร่มไม้เช่นเดียวกันแต่หยาดเหงื่อดุจเม็ดมุกกลับผุดพรายไหลหยดจากปลายจมูกนางไม่ขาดสาย
“พี่สะใภ้ ข้ายังไม่เหนื่อย” เจินเมี่ยวเงยหน้าขึ้นส่งยิ้มเจิดจ้าให้กับนางอวี๋
นางอวี๋ลุกขึ้น มือยื่นจับหน้าท้องที่นูนออกมาเล็กน้อยนั้นตามสัญชาตญาณ พลางเดินไปหาเจินเมี่ยวอย่างไม่เร็วไม่ช้า
นางมองท่าทางอันมุ่งมั่นนั้นของเจินเมี่ยวแล้วส่ายศีรษะ ระบายยิ้มออกมา “น้องสี่ เจ้าเพิ่งฝึกได้ไม่นาน ฝึกมากเกินไปย่อมไม่ดี การย่อเข่านี้เป็นพื้นฐานของการฝึกยุทธ์ ค่อยๆ พัฒนาไปตามลำดับเถิด”
นางอวี๋ตั้งครรภ์ได้สามเดือนแล้วจึงมิได้มีอาการแพ้รุนแรงดั่งแต่ก่อน แก้มสองข้างอิ่มเอิบ เมื่อได้อาบแสงแดดก็ทำให้สีหน้าดูดีขึ้นมาก
นางอวี๋เป็นผู้ชำนาญในศาสตร์นี้ เจินเมี่ยวได้ยินเช่นนั้นก็ยืดตัวขึ้นยืนตรง เพราะยืนย่อจนขาชา จึงเดินไปที่เก้าอี้หวายพลางนวดขาตนไปด้วย “พี่สะใภ้ ข้าขอพักเท้าสักครู่ หากท่านเหนื่อยแล้วก็ให้อวี้เอ๋อร์ ประคองท่านกลับเถิด”
นางอวี๋หัวเราะพลางเดินเข้าไปหานาง “ข้ามีครรภ์มิกล้าใช้น้ำแข็งบรรเทาร้อน อีกอย่างอยู่แต่ในห้องก็อุดอู้ ใต้ร่มไม้นี้นั้นเย็นสบายยิ่ง”
มองใบหน้ารูปไข่ที่แดงเรื่อนั้นของเจินเมี่ยวก็อดเอ่ยออกไปไม่ได้ว่า “น้องสี่ อย่าถือสาหากข้าจะพูดตามตรง การฝึกยุทธ์นั้น สำหรับคนอายุเท่าเจ้าก็ออกจะสายเกินไปสักหน่อย อีกอย่างเจ้าเป็นถึงคุณหนูจวนปั๋ว มิจำเป็นต้องทำให้ตนเองต้องเหนื่อยถึงเพียงนี้ หากตากแดดจนดำคล้ำ ท่านแม่คงจะตำหนิข้า”
“พี่สะใภ้ ข้ามิได้หวังถึงขั้นจะเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่ง เหาะเหินเดินบนหลังคา เพียงหวังให้ร่างกายแข็งแรง ช่วงเวลาที่เอาแต่นอนอยู่บนเตียงนั้นช่างน่ากลัวนัก”
ตั้งแต่ที่ทราบว่าหัวใจของซื่อจื่อจวนเจิ้นกั๋วกงนั้นดำยิ่งกว่าที่จินตนาการไว้ เจินเมี่ยวก็ขบคิดเรื่องนี้มาตลอด
ความสามารถเรื่องการรบราภายในเรือนอย่างสตรียุคโบราณนั้นนางมิค่อยถนัดจริงๆ คิดจะเรียนรู้อย่างไรก็ต้องมีลำดับขั้นตอนมิใช่หรือ คาดว่านางคงเป็นพวกพยายามเต็มกำลังแต่ได้ผลเพียงน้อยนิดเสียมากกว่า
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ไม่สู้ทำเรื่องที่จับต้องได้ ฝึกฝนร่างกายให้แข็งแรงเสียก่อนค่อยว่า
“นั่นก็จริง” นางอวี๋พยักหน้าเห็นด้วย “มีร่างกายที่แข็งแรงจึงเป็นเรื่องสำคัญ ข้าก็โชคดีที่สุขภาพดีถึงได้ผ่านสามเดือนแรกมาได้”
กล่าวถึงตรงนี้ก็เลิกคิ้วขึ้น เอ่ยอย่างสงสัยว่า “ไม่รู้ว่าท่านแม่จะเป็นอย่างไรบ้าง ข้าไปสอบถามกับฮว่าปี้มา ท่านแม่ดูจะมิค่อยเบิกบานเท่าใดนัก”
ครั้งนี้แม่สามีนางออกจะวู่วามไปบ้างจริงๆ แต่เมื่อมีฐานะเป็นภรรยาเอก นางอวี๋ย่อมต้องยืนอยู่ข้างแม่สามี นางคิดว่าพ่อสามีก่อเรื่องอันไม่สมควรจริงๆ
เพียงแต่บุตรชายมิอาจตำหนิความผิดของบิดา ยิ่งมิต้องเอ่ยถึงลูกสะใภ้เช่นนาง
เจินเมี่ยวฟังแล้วสลดไปเช่นกัน
ฮูหยินผู้เฒ่ายังมิยกเลิกคำสั่งกักบริเวณนายท่านสามและภรรยา ทั้งไม่อนุญาตให้พวกนางเข้าไปเยี่ยม ไม่ต้องคิดก็ทราบว่า วันเวลาของนางเวินย่อมต้องผ่านไปอย่างทุกข์ทรมาน
“วันนี้มีการกินอาหารค่ำร่วมกันในตระกูล เช่นนั้นพี่สะใภ้ขอร้องท่านย่าสักหน่อยเถิด ไม่แน่ว่าท่านย่าอาจจะเห็นแก่หลานในท้องของท่านจนยอมรับปากก็ได้ ”
ฮูหยินผู้เฒ่ากำหนดกฎไว้ว่า ทุกๆ เย็นของวันที่หนึ่งและสิบห้าเป็นวันนัดพบของตระกูล ทุกครอบครัวจะมารวมอยู่ด้วยกัน ซึ่งโดยปกติจะต่างคนต่างกินอยู่ที่เรือนตน
“ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น น้องสี่วางใจเถิด ตอนนี้ก็ใกล้เวลาแล้ว ข้าต้องกลับไปเตรียมตัวสักหน่อย หากไปสายคงไม่ค่อยดีนัก”
เจินเมี่ยวลุกขึ้นส่ง “พี่สะใภ้เดินดีๆ ข้าขอนั่งพักสักครู่ก่อน”
เมื่อเห็นอวี้เอ๋อร์ค่อยๆ ประคองนางอวี๋ไกลออกไปเรื่อยๆ เจินเมี่ยวก็นั่งลงอีกครั้ง
แสงอาทิตย์ยามบ่ายแม้จะแสบตา แต่เมื่อถูกใบไม้อันหนาแน่นบดบังไว้ก็เหลือเพียงแสงแดดอุ่นๆ ที่ตกลงกระทบผิว
“เชวี่ยเอ๋อร์ เจ้าไปเก็บใบบัวมาสักหน่อยเถิด กลับไปข้าจะทำไก่ใบบัว”
นางเป็นคนที่ไม่กินเนื้อมิได้ เพียงแต่เมื่อถึงฤดูร้อนกลับกินของมันเลี่ยนไม่ได้ ไก่ใบบัวนั้นมันแต่ไม่เลี่ยน เหมาะกินในฤดูนี้ที่สุด
ได้ยินคุณหนูบอกว่าจะทำอาหารชนิดใหม่ สาวใช้ก็ดวงตาเป็นประกาย ตอบรับอย่างมีความสุขแล้ววิ่งไปทันที
“ระวังตกน้ำเล่า” เจินเมี่ยวเอ่ยกำชับ
“ไม่มีทางเจ้าค่ะคุณหนู ข้าว่ายน้ำเก่งมาก”
เจินเมี่ยวหัวเราะออกมา รู้สึกว่าแสงอาทิตย์ยิ่งส่องยิ่งอบอุ่นจึงหลับตาลงอย่างเผลอตัว ดื่มด่ำกับความเงียบสงบอันยากจะพานพบ
ครั้นกำลังจะเคลิ้มหลับ นางพลันรู้สึกว่ามีบางอย่างที่แปลกไป คล้ายมีสิ่งหนึ่งกำลังดึงเท้าของนาง
หรือว่าเป็นงู?
เจินเมี่ยวลืมตาขึ้นอย่างจำใจเล็กน้อย ฉับพลันทั่วทั้งร่างก็แข็งทื่อไป
มันตัวสีขาว ดูแล้วคงเป็นห่านที่แข็งแรงมากตัวหนึ่ง มันกำลังจิกรองเท้าปักลายบุปผาของนางอย่างสนุกสนาน
เมื่อรู้สึกถึงการเคลื่อนไหว ห่านตัวนั้นก็ยกคอขึ้นมา ดวงตาเล็กดำขลับคู่นั้นสบเข้ากับเจินเมี่ยวพอดี
หนังศีรษะของเจินเมี่ยวกำลังจะระเบิดออกมาแล้ว ที่แท้คือเรื่องอันใดกัน!
ผู้ใดบอกนางได้บ้าง เหตุใดสวนบุปผาที่มีทัศนียภาพแสนงดงามของจวนปั๋วจึงมีห่านอยู่ตัวหนึ่ง!
สถานที่ที่มีหญ้าเขียวชอุ่มเช่นนี้ สิ่งที่พบเห็นเป็นประจำมิใช่งูสักตัวหรอกหรือ!
เจินเมี่ยวลอบตำหนิงูเกียจคร้านพวกนั้นอยู่ในใจเป็นร้อยครั้ง นางจ้องมองห่านตัวนั้นแต่กลับมิกล้าขยับเคลื่อนไหว
คนที่รู้จักกับเจินเมี่ยวในโลกก่อนล้วนทราบดีว่าคนผู้นี้กลัวห่านที่สุด ครั้งหนึ่งคนบางคนเมาเหล้าจนเปิดโปงเรื่องนี้ออกมาเอง ตอนยังเล็กนางอาศัยอยู่ในหมู่บ้านแล้วถูกห่านของเพื่อนบ้านไล่จิก เป็นเช่นนั้นอยู่ครึ่งปีทำให้เรื่องนี้หยั่งรากลึกลงในใจอย่างฝังแน่น
เจ้าห่านเอียงคอจ้องมองเจินเมี่ยวครู่หนึ่ง เมื่อรู้สึกว่ามิได้น่ากลัวอันใด ความกล้าหาญจึงบังเกิดขึ้น มันกระพือปีกสั้นๆ อ้วนๆ ขึ้น ยื่นคอออกไปจิกใบหน้าเจินเมี่ยว
เจินเมี่ยวลืมกระทั่งร้องกรี๊ด เมื่อชีวิตตกอยู่ในความเป็นความตายจึงเผยพลังอันน่าตกใจออกมา นางกระโดดขึ้นไปบนเก้าอี้หวายทันที แล้วพุ่งเข้าไปกอดต้นไม้ที่อยู่หลังเก้าอี้หวาย ขยับเพียงครั้งสองครั้งก็ปีนขึ้นไปบนต้นไม้ได้แล้ว
ห่านยื่นคอยาว ส่งเสียงร้องแควก แควกอย่างโมโห
เจินเมี่ยวถอนหายใจยาว รู้สึกดั่งรอดชีวิตจากมหันตภัยร้าย หลังจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นความโกธร
เจ้าสัตว์เดรัจฉานนี้ รังแกคนเกินไปแล้ว!
นางชำเลืองมองคราหนึ่ง เห็นว่ากิ่งไม้ไม่ไกลนักมีรังนกอยู่ ภายในมีไข่นกวางอยู่หลายฟอง
นางไม่คิดอันใดให้มากความหยิบไข่นกขว้างใส่ทันที
เสียงดังเพียะ ไข่นกนั้นขว้างถูกหัวมันพอดี ของเหลวจากไข่ไหลเข้าไปในปากห่าน
ห่านดุร้ายตัวนั้นก็ทะยานเข้าไปหานางทันที
เจินเมี่ยวจึงหยิบไข่นกทั้งหมดขว้างใส่มันด้วยความตกใจ
ห่านตัวนั้นมีนิสัยดุร้ายทั้งยังโหดเหี้ยม มันพยายามทะยานขึ้นไปหานางกระทั่งขนหลุดร่วงลงพื้น ความถี่ในการกระพือปีกนั้นเร็วอย่างยิ่ง ชั่วครู่ก็พุ่งขึ้นไปชนต้นไม้ด้านบน
เจินเมี่ยวถอยหลังหลบตามสัญชาตญาณ นางซ่อนอยู่หลังพุ่มใบไม้อันหนาแน่นแล้วลอบมองดูจากช่องว่างเล็กๆ ของพุ่มไม้นั้น
นางเห็นผู้เฒ่าคนหนึ่งสวมเสื้อคลุมยาวตามแบบลัทธิเต๋าสาวเท้าก้าวเข้ามาด้วยความเร็วดุจดาวตก ปากยังร้องเรียกว่า “อากุ้ยเด็กดีของข้า ข้าได้ยินเสียงเจ้าแล้ว อย่าดื้ออีกเลย ออกมาได้แล้ว”
ผู้เฒ่าคนนั้นมองไปทั่วทิศ พลันหยุดฝีเท้าลง ใบหน้าบิดเบี้ยวแล้วทะยานเข้ามาดุจบินได้
เมื่อหยุดลงก็เห็นห่านที่นอนหายใจรวยรินอยู่ตรงหน้า มีของเหลวจากไข่รดราดไปทั่วตัว จึงร้องไห้โหยหวนออกมา “อากุ้ย อากุ้ยที่น่าสงสารของข้า เจ้าเป็นอันใดไป! ”
ผู้เฒ่าพูดพลางอุ้มห่านขึ้นมาอย่างระมัดระวัง สายตาดุจมีดกวาดมองไปทั่ว เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันเอ่ยว่า “คนชั่วหน้าไหนทำให้อากุ้ยเป็นเช่นนี้ หากข้ารู้ ข้าจะฆ่ามัน! ”
เมื่อเห็นผู้เฒ่าที่เอ่ยวาจาโหดเหี้ยมนั้นชัดเจน เจินเมี่ยวก็คล้ายถูกฟ้าผ่า
เจ้าห่านดุร้ายนั้น มัน มันมีสิทธิ์อันใดถึงชื่อว่าอากุ้ย1 ทั้งยัง...เป็นสัตว์เลี้ยงของท่านปู่อีก!
[1กุ้ย แปลว่า แพง หรือล้ำค่า]