ตอนที่ 14
ตอนที่ 14 กระโดดบ่อ
อากาศเดือนหกนั้นร้อนอย่างยิ่ง แม้ถึงยามอาทิตย์ตกดินแล้ว ไอร้อนก็ยังไม่ลดน้อยลงเลย ที่ตรอกชิงเชวี่ยมีเสียงฝีเท้าม้าดังขึ้นกุบกับ
เมื่อมาถึงหน้าแผ่นป้ายทองคำของจวนเจิ้นกั๋วกงที่แขวนสูงอยู่ด้านบน หลัวเทียนเฉิง ซื่อจื่อจวนเจิ้นกั๋วกงก็พลิกร่างลงจากหลังม้า เดินก้าวยาวผ่านประตูเข้าไป
ครั้นถึงเรือนชิงเฟิงอันเป็นที่พักของซื่อจื่อ สาวใช้งามสะคราญรูปร่างสูงโปร่งอวบอิ่มก็ออกมาต้อนรับด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า “ซื่อจื่อ ท่านกลับมาแล้ว”
สายตาอดทอดมองไปที่ร่างของหลัวเทียนเฉิงมิได้
เขาเร่งรุดกลับจวนมาตลอดเส้นทาง อาภรณ์ที่สวมใส่นั้นเปียกชุ่มกระทั่งแห้ง จากแห้งก็เปียกชุ่มอีกครา อาภรณ์แนบลู่ไปกับร่างท่อนบน เผยให้เห็นมัดกล้ามเป็นริ้วที่อัดแน่นอยู่ภายใน
สาวใช้ผู้นั้นพลันหน้าแดงด้วยความเขินอาย แต่มิได้ละสายตาหนี นัยน์ตาผลสุ่ยซิ่ง1 กลับจ้องมองบุรุษอกผายไหล่ผึ่งหลังตรงดุจไผ่เขียวนั้นอย่างล้ำลึก พลางเอ่ยในใจว่า ‘หลายเดือนมานี้ซื่อจื่อดูแปลกไปไม่เหมือนเมื่อก่อน ในอดีตคล้ายผอมบางกว่านี้เล็กน้อย...’
เมื่อรู้สึกถึงสายตาของสาวใช้ที่มองดุจจะให้ทะลุไปถึงกระดูก หลัวเทียนเฉิงจึงขมวดคิ้วคราหนึ่ง แล้วเอ่ยเสียงเรียบว่า “ไปเตรียมน้ำอุ่น ข้าจะอาบน้ำ”
“เจ้าค่ะ” สาวใช้รับคำ หมุนกายจากไปเพื่อเตรียมน้ำอุ่น ใจนางเต้นตึกตักคล้ายเดินอยู่บนปุยนุ่นก็มิปาน
สองปีก่อนนางก็ถูกซื่อจื่อเรียกใช้งานแล้ว ซื่อจื่อแข็งแรงหนุ่มแน่น ย่อมมิอาจขาดเรื่องเช่นนั้นไปได้
[1ผลสุ่ยซิ่ง เป็นผลไม้ชนิดหนึ่ง ผลเป็นทรงกลม เปลือกสีเหลืองแซมเขียว เนื้อในเป็นสีเหลืองอ่อนแกมขาว]
ทว่าหลายเดือนมานี้ไม่ทราบด้วยเหตุใด ซื่อจื่อกลับไม่เข้าใกล้นางอีกเลย
คู่หมั้นของซื่อจื่อก็ยังมิทันแต่งเข้าจวน อีกอย่างฐานะเช่นนาง การที่จะยกขึ้นเป็นอนุนั้นคงมิอาจเป็นไปได้ นางเพียงอาศัยความโปรดปรานของซื่อจื่อเท่านั้น หากความรักใคร่หมดสิ้นลง ถึงตอนนั้นเกรงว่าคงได้แต่ถูกไล่ให้แต่งงานไปกับผู้อื่นแล้ว
สิ่งที่ทำให้นางยังสงบใจอยู่ได้คือสาวใช้อีกสองคนที่เคยถูกซื่อจื่อเรียกใช้งานต่างยังมิได้โดดเด่นไปกว่านาง
“พี่ฉี่เย่ว์ พี่ฉี่เย่ว์ น้ำเดือดแล้ว” อวิ๋นเยี่ยน สาวใช้น้อยตะโกนบอกถึงสองครา ฉี่เย่ว์จึงมีสติคืนมา
“เดือดแล้วก็เดือดแล้ว ตะโกนแหกปากไปไย ยังมิรีบยกไปห้องอาบน้ำอีก”
นางมองดูเด็กรับใช้สองคนยกน้ำไปที่ห้องอาบน้ำแล้วเข้าไปทดสอบอุณหภูมิของน้ำด้วยตนเอง ฉี่เย่ว์จึงไปเชิญซื่อจื่อด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่กลับเห็นซิ่วเฟิงกำลังยกน้ำชาให้ซื่อจื่ออยู่ นางโมโหขึ้นมาทันใด “เอ๊ะ ซิ่วเฟิง เจ้ามิใช่ไม่สบายกำลังอยู่ในช่วงพักผ่อนหรือ แล้ววิ่งออกมาทำอันใด ระวังจะเอาไข้หวัดมาแพร่ให้แก่ซื่อจื่อ”
ซิ่วเฟิงหน้าตาจิ้มลิ้มน่ารัก แต่กลับมิได้อ่อนแอ “พี่ฉี่เย่ว์ น้องสาวเป็นบ่าวรับใช้คนหนึ่ง ร่างกายไหนเลยจะอ่อนแอปานนั้น ข้าหายนานแล้ว”
เอ่ยพลางซบร่างอ่อนดุจไร้กระดูกนั้นไปบนกายหลัวเทียนเฉิง น้ำเสียงอ่อนหวาน “ซื่อจื่อ ให้บ่าวปรนนิบัติท่านอาบน้ำเถิดเจ้าค่ะ”
มือเรียวยาวดุจไผ่นั้นผลักนางออก “ไม่ต้อง ออกไป”
ซิ่วเฟิงพลันตกตะลึงอยู่ตรงนั้น ดวงตาคลอไปด้วยน้ำตาที่เอ่อล้นอยู่เช่นนั้นคล้ายจะร่วงหล่นแต่ก็มิได้ร่วงหล่นลงมา พานให้คนเกิดความสงสารยิ่ง
ทว่าหลัวเทียนเฉิงกลับคล้ายมองไม่เห็น เขาก้าวเท้ายาวมุ่งตรงไปยังห้องอาบน้ำทันที
ฉี่เย่ว์ยิ้มเยาะไร้สุ้มเสียงให้ซิ่วเฟิง หมุนกายเดินออกไปอย่างรวดเร็ว “ซื่อจื่อ บ่าวจะไปปรนนิบัติท่านเองเจ้าค่ะ”
ร่างอันอวบอิ่มนั้นเบียดเข้าไปหาทันที
ในอดีตมิใช่ว่าซื่อจื่อจะไม่เคยทำเหลวไหลในห้องอาบน้ำเสียเมื่อใด วันนี้นางจะต้องคว้าหัวใจของซื่อจื่อคืนมาให้จงได้
หลัวเทียนเฉิงคล้ายมีตางอกอยู่ด้านหลังกระนั้น เขาเบี่ยงกายหลบไปอีกทาง ศีรษะที่ส่ายไปมาของฉี่เย่ว์นั้นจึงชนเข้ากับวงกบประตูด้านบน
“ฮ่าๆ” ซิ่วเฟิงที่เมื่อครู่ยังน้ำตาคลอเบ้าอยู่กลับหัวเราะออกมา เมื่อรู้สึกได้ถึงแววตาอันเย็นเยียบของหลัวเทียนเฉิงจึงเงียบเสียงไปทันที
“คำพูดของข้า พวกเจ้าต่างไม่ได้ยินเลยงั้นหรือ ออกไป! ”
นัยน์ตาทั้งสองดวงนั้นทอประกายดุจดาราในคืนหนาว ไม่มีความอบอุ่นแม้เพียงน้อยนิด สาวใช้ทั้งสองล้วนรู้จักดูสีหน้าคน จึงมิกล้าคัดค้าน ได้แต่ปิดประตูลงอย่างมิยินยอมนัก
“เดี๋ยวก่อน” หลัวเทียนเฉิงเหยียดริมฝีปากยิ้มเย็นชา จ้องมองสาวใช้สองคนนิ่ง
คนทั้งสองหมุนกายกลับมาพร้อมกันด้วยสีหน้ายินดีปรีดา
วาจาเย็นเยียบของหลัวเทียนเฉิงถูกเอ่ยออกมา “ต่อไปพวกเจ้าสองคนไม่ต้องเข้ามาในห้องข้าอีก”
“ซื่อจื่อ! ” คนทั้งสองต่างหน้าซีดเผือด ดวงตาเบิกโพลงอย่างไม่อยากเชื่อ
“ข้าไม่อยากพูดเป็นครั้งที่สอง” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยเสียงเรียบ
ฉี่เย่ว์กำหมัดแน่น เล็บคมกดลึกเข้าไปในฝ่ามือ ฝ่าเท้าตอกตรึงอยู่ที่พื้นไม่ขยับเคลื่อนไหว กำลังจะคิดพูดบางอย่าง ก็เห็นซิ่วเฟิงกระโจนเข้าไปกอดขาหลัวเทียนเฉิงไว้แน่น เอ่ยเว้าวอนว่า “ซื่อจื่อ ท่าน ท่านเป็นอันใดไป แต่ก่อนท่านยังเคยบอกว่า ชอบเท้าน้อยๆ คู่นี้ของบ่าวที่สุด จะรักดูแลบ่าวไปชั่วชีวิต หรือด้านนอกมีปีศาจจิ้งจอกเจ้าเล่ห์คอยเกาะแกะท่าน ท่านถึงได้ละทิ้งพวกเราสองพี่น้อง...”
“พอได้แล้ว! ” หลัวเทียนเฉิงเตะซิ่วเฟิงกระเด็นออกไปอย่างไม่มีแก่ใจจะรักถนอมหยกงามแม้เพียงนิด “เรื่องของข้า บ่าวรับใช้เช่นเจ้ายุ่งอันใด ในเมื่อเจ้าไม่ยอมออกไปเอง เช่นนั้นข้าจะให้คนส่งเจ้าออกไป เข้ามา! เอาซิ่วเฟิงไปส่งนอกจวนเดี๋ยวนี้! ”
หลังจากฟื้นคืนกลับมา เขาเกลียดที่สุดคือการที่มีคนเอ่ยถึงเรื่องในอดีต
เขาในชาติก่อนนั้นโง่งมมากเท่าใดกันถึงได้ถูกท่านอาผู้แสนดีของตนกล่อมเกลาจนกลายเป็นคนที่ทำเป็นแต่เพียงต่อกลอน ทั้งหลงคิดว่าตนสูงส่งหนักหนา เป็นสิ่งไร้ประโยชน์กินดื่มสนุกไปวันๆ !
มีสาวใช้เข้ามาลากซิ่วเฟิงออกไป
ซิ่วเฟิงขัดขืนสุดชีวิต “ไม่! ซื่อจื่อ ท่านทำเช่นนี้กับบ่าวมิได้ วันนี้แม้ตายบ่าวก็จะไม่ออกไป”
หลัวเทียนเฉิงชำเลืองมองซิ่วเฟิงที่อ้อนวอนอยู่ใต้ฝ่าเท้าตน เผยยิ้มบางเบา “งั้นหรือ เช่นนั้นเจ้าก็ตายเสียให้สิ้นเรื่องเถิด”
พูดพลางมุ่งหน้าไปห้องอาบน้ำโดยไม่แม้แต่จะหันหลังกลับมา
“ซื่อจื่อ ซื่อจื่อ! ” ซิ่วเฟิงตะโกนร้องดั่งเสียสติ เมื่อเห็นภาพด้านหลังของหลัวเทียนเฉิงหายวับไป จึงสะบัดจากสาวใช้ที่จับกุมอย่างบ้าคลั่งแล้ววิ่งออกไปนอกประตู
หลังจากนั้นเพียงสองเค่อ หลัวเทียนเฉิงก็สวมเสื้อผ้าสะอาดออกมาจากห้องอาบน้ำ นั่งลงบนเตียงแล้วหยิบตำราเล่มหนึ่งขึ้นมาอ่าน
สาวใช้ที่ดูแลงานภายในเรือนชิงเฟิงเดินเข้ามาด้วยท่าทางหวาดกลัวเล็กน้อย “ซื่อจื่อ ซิ่วเฟิงกระโดดบ่อไปแล้วเจ้าค่ะ”
หลัวเทียนเฉิงมิได้เบนสายตาออกจากตำราเสียด้วยซ้ำ เพียงเอ่ยเสียงเรียบว่า “อืม ตายแล้วหรือ”
“ตอนที่ช่วยขึ้นมา นางก็สิ้นลมไปแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้หนาวสะท้านอยู่ในใจ เอ่ยออกไปอย่างนอบน้อม
คิดในใจว่าซื่อจื่อไม่เหมือนแต่ก่อนเท่าใดนัก
ในอดีตซื่อจื่อชมชอบร่ายบทกวี ดีดพิณ เดินหมากรุก และปฏิบัติต่อสาวใช้อย่างอ่อนโยนยิ่ง เป็นคุณชายสูงศักดิ์ที่มีชื่อเสียงในเมืองหลวงผู้หนึ่ง
ทว่าหลายเดือนที่นางเฝ้าสังเกตอยู่เงียบๆ นี้ พบว่าซื่อจื่อล้วนมิเคยแตะต้องเรื่องรักใคร่สร้างสัมพันธ์เช่นนั้นเลย สามวันห้าวันจึงกลับจวนครั้งหนึ่ง ไม่ทราบแน่ว่าทำสิ่งใดอยู่ทั้งวัน
แม้เป็นเช่นนั้นก็ช่างเถิด ทว่าสาวใช้ดั่งบุปผาดุจหยกงามหลายคนที่เดินผ่านหน้าไปมาทุกวัน ซื่อจื่อก็มิยอมให้แตะตัวแม้แต่น้อย
นางเป็นผู้มีประสบการณ์ จึงทราบดีว่าการรั้งบุรุษหนุ่มที่ได้ลองลิ้มชิมรสตนแล้วนั้นยากเพียงใด
คงมิใช่เพราะซื่อจื่อตกน้ำครั้งนั้นกระมัง เหตุเกิดจากความไม่พอใจเรื่องหมั้นหมายงั้นหรือ
สาวใช้บ่นพึมพำอยู่ในใจ ลอบขบกัดฟันตนคราหนึ่ง
ถุยๆๆ เป็นถึงคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ แต่กลับทำเรื่องไร้ยางอายเช่นนั้นออกมาได้ ทำให้ซื่อจื่ออุปนิสัยเปลี่ยนไปเช่นนี้
“ตายแล้วก็นำคนไปฝังเสีย แล้วมอบเงินให้มารดานางสิบตำลึง”
หลัวเทียนเฉิงเอ่ยเสียงไม่ดังนัก แต่สาวใช้กลับตื่นจากภวังค์อย่างรวดเร็ว “เจ้าค่ะ เอ่อ ซื่อจื่อ ฮูหยินผู้เฒ่าให้คนมาเชิญท่านไปพบเจ้าค่ะ”
“รู้แล้ว” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยเสียงเรียบ สายตายังคงจ้องที่ตำรา
สาวใช้จึงรีบถอยออกไป
ผ่านไปนาน หลัวเทียนเฉิงจึงวางตำราไว้ด้านข้าง เมื่อนึกถึงการตายของซิ่วเฟิงมุมปากก็ขยับยกขึ้น
คิดไม่ถึงจริงๆ ว่านางจะตายเช่นนี้
ชาติก่อนก็เป็นสาวใช้คนนี้ที่ถูกอาสะใภ้รองซื้อตัว นางลอบเปลี่ยนน้ำแกงคุมกำเนิดในช่วงไว้ทุกข์ให้ท่านย่า สุดท้ายจึงมีข่าวลือออกไปว่านางตั้งครรภ์ ทำให้ชื่อเสียงเขาเสื่อมเสียไม่มีชิ้นดี
หากบอกว่าสาเหตุของละครเศร้าทั้งหมดของเขาเกิดขึ้นเพราะตกน้ำกับสตรีชั่วช้าผู้นั้นจนต้องหมั้นหมายกัน เช่นนั้นเรื่องนี้ก็เป็นการเปิดฉากโศกนาฏกรรมอย่างเป็นทางการ
ตระกูลที่วางแผนทำร้ายกันทุกย่างก้าวนี้ แม้ไม่มีนางก็ยังมีผู้อื่น กระทั่งคนที่บอกว่าชอบเขาแท้ๆ ยังทำเรื่องที่ทำให้เขาถึงตายออกมาได้เพียงเพราะผลประโยชน์
หลัวเทียนเฉิงเผยรอยยิ้มเยาะแล้วหยัดกายลุกขึ้นเดินไปที่เรือนอี๋อาน