icon member

วาสนาบันดาลรัก

ตอนที่ 12

ตอนที่ 12 เข้าใจผิด

ฉับพลันเจินเมี่ยวก็ไพล่คิดไปถึงความหวาดกลัวในวันที่ไปร้านเป่าหวา

ครั้นเห็นเจินเมี่ยวมีสีหน้าที่แปลกไป เจินเหยียนจึงเอ่ยถามว่า “น้องสี่ เป็นอันใดหรือ”

เจินเมี่ยวเอ่ยอย่างลังเลว่า “วันนั้นเราไปเลือกเครื่องประดับในร้านเป่าหวา ตอนที่ท่านแม่เพิ่งออกไป ข้าเห็นซื่อจื่อจวนเจิ้นกั๋วกง”

เจินเหยียนหน้าเปลี่ยนสีไปโดยพลัน “ความหมายของเจ้าคือ? ”

“ข้ามิได้หมายความเช่นไร เพียงรู้สึกว่าบังเอิญเกินไป” เจินเมี่ยวไม่กล้าพูดทุกอย่างออกมาทั้งหมด

ทว่าในใจนางกลับรู้สึกว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับจวนเจิ้นกั๋วกงแน่ อย่างไรซื่อจื่อจวนเจิ้นกั๋วกงก็ถึงกับคิดจะฆ่านางให้ตายในตอนที่ตกน้ำลงไปด้วยกัน คิดว่าคงไม่พอใจอย่างมากกับการหมั้นหมายในครั้งนี้

หากจวนเจี้ยนอานปั๋วมีเรื่องวุ่นวายจนยากจะจัดการได้ ฝั่งนั้นจะเอ่ยปากขอถอนหมั้นก็คงไม่มีผู้ใดกล้าพูดมาก

ฉับพลันเจินเหยียนก็คิดถึงจุดนี้ขึ้นมาได้

แม้นนางจะไม่ทราบเรื่องที่เจินเมี่ยวเคยถูกซื่อจื่อจวนเจิ้นกั๋วกงบีบคอ ทว่าสามารถคาดเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงไม่พอใจต่อการหมั้นหมายในครั้งนี้

“เรื่องนี้เจ้าอย่าเพิ่งพูดกับผู้ใด ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบ” เจินเหยียนเอ่ยกำชับ

“ท่านย่าก็มิอาจบอกหรือ”

“ไม่มีพยานหลักฐาน ทั้งจวนเจิ้นกั๋วกงและจวนเจี้ยนอานปั๋วก็มีความสัมพันธ์กันเช่นนี้อีก ยังไม่ได้บทสรุปของเรื่องราว จะบอกท่านย่าไปไยกัน”

“อืม” เจินเมี่ยวพยักหน้ารับ

นางทราบดีว่าพี่รองนั้นคอยช่วยนางเวินดูแลจัดการเรื่องในเรือนมาแต่เยาว์ ในใจย่อมมีวิธีการต่างๆ ไม่น้อย ไม่แน่ว่าอาจมีเส้นสายที่นางเองไม่เคยทราบมาก่อนก็เป็นได้

มิเหมือนนาง มีเพียงสาวใช้หน้าตายที่ฮูหยินผู้เฒ่าส่งมา

หากรู้สึกสงสัยในสิ่งใด แค่ตรวจสอบสักหน่อยก็ได้เรื่องแล้ว

เจินเหยียนนึกขึ้นได้ว่าสองเดือนก่อน นางไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้จึงได้ยินสาวใช้ที่กำลังตัดแต่งกิ่งสองคนสนทนากันโดยบังเอิญ ทำให้คิดสงสัยในตัวบิดาขึ้นมา

เมื่อไปสืบประวัติของสาวใช้สองคนนั้น พบว่าสาวใช้ผู้หนึ่งแซ่จ้าว นางมีหลานสาวฝั่งมารดาทำงานในห้องครัวของจวนเจิ้นกั๋วกง

ในอดีตนายท่านสามนั้นถูกนางเวินควบคุมอย่างเข้มงวด จึงน้อยนักที่จะไปเที่ยวเตร่ร่ำสุรา เจินเหยียนเรียกเจินอานมาสอบถาม เจินอานจำได้ว่าหลายเดือนก่อนนายท่านสามไปหอฉู่เซียวเพราะสหายร่วมงานเชิญไปร่วมสังสรรค์

ตระกูลใหญ่คิดสืบเรื่องราวย่อมมีหนทาง เจินเหยียนใช้คนสนิทของนางออกไปสอบถาม

คำวิพากษ์วิจารณ์ที่มีต่อจวนเจี้ยนอานปั๋วมิทันจางก็มีข่าวลือว่าจวนเจิ้นกั๋วกงคิดถอนหมั้น เหล่าบริวารล้วนมองบ้านสามด้วยสายตาที่แปลกไปเล็กน้อย

แม้นวันนั้นฮูหยินผู้เฒ่าจะฟังวาจาของเจินเมี่ยว แต่หลังจากเรื่องราวผ่านไปกลับมิค่อยโปรดปรานหลานสาวทั้งสองเท่าใด ทุกวันที่ไปน้อมทักทายล้วนเฉยชาใส่ บอกปัดให้กลับเรือนโดยไวทุกครา

เจินเมี่ยวกลับทำคล้ายมิใช่เรื่องของตน สิ่งใดควรทำก็ทำเช่นเดิม อากาศค่อยๆ ร้อนขึ้นแล้ว นางจึงทำซัวอีหวงกวา1เมื่อทำเสร็จก็แบ่งใส่จานส่งไปให้แต่ละเรือน ในส่วนของฮูหยินผู้เฒ่านั้นนางถือไปให้ด้วยตนเอง แล้วค่อยไปส่งให้เจินเหยียน

เจินเหยียนรู้สึกร้อนจนร่างกายทนไม่ไหว ทั้งยังมีเรื่องให้คิด เหตุการณ์เช่นนี้เป็นอยู่หลายวันทำให้ผ่ายผอมลงไปไม่น้อย ทั้งไร้ความอยากอาหาร แต่เมื่อเจินเมี่ยวนำซัวอีหวงกวามาให้กลับกินไปไม่น้อย

[1ซัวอีหวงกวา มีวัตถุดิบเป็นแตงกวา โดยหั่นแตงกวาเป็นแผ่นแต่ไม่ให้ขาดออกจากกัน นำมาวางเป็นวงกลมในจาน แล้วราดซอสปรุงรสใส่ลงไป รสชาติหวานเปรี้ยวกำลังดีมีรสเผ็ดปนอยู่เล็กน้อย]

เจินเมี่ยวพินิจผืนผ้าปักที่ถูกขึงอยู่บนแท่นปัก “พี่รอง ภาพสาลิกา2เคียงเหมย ที่ท่านปักนั้น คิดจะนำไปทำฉากบังลมหรือ? ”

“อืม” เจินเหยียนกินอิ่มแล้วหนึ่งมื้อ รู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาก

“ฝีมือการปักของพี่รองนับวันยิ่งประณีตงดงาม วันหน้าหากนำไปวางในห้องโถงรับแขก ไม่ทราบจะมีคนมากมายเท่าใดที่เอ่ยปากชม”

ที่กล่าวมานี้ย่อมต้องเป็นเรื่องราวหลังจากที่เจินเหยียนแต่งออกไปแล้ว

เจินเหยียนกลับมิได้มีสีหน้ายินดีมากมายเท่าใดนัก เพียงเอ่ยว่า “น้องสี่ก็ควรปักเช่นกัน เรื่องนี้มิใช่เรื่องที่จะทำวันเดียว”

เจินเมี่ยวพยักหน้า “อืม ข้ากำลังปักอยู่”

แม้ไม่ทราบว่าเรื่องการหมั้นจะมีอันใดเปลี่ยนแปลงหรือไม่ หรือวันข้างหน้าจะเป็นเช่นไร เรื่องที่ควรทำก็ยังต้องทำ

สองพี่น้องกำลังสนทนากันอยู่ เหลียนเยี่ยก็โผล่หน้าเข้ามา มองเจินเหยียนคราหนึ่ง

เจินเหยียนทราบทันที จึงลุกขึ้นเอ่ยว่า “น้องสี่นั่งลงเสียก่อน ข้าออกไปสักครู่ประเดี๋ยวก็มา”

เมื่อถึงห้องด้านข้าง เหลียนเยี่ยก็เอ่ยเสียงต่ำว่า “คุณหนู เสี่ยวซื่อกลับมาแล้ว นี่คือจดหมายที่นำมามอบให้ท่าน”

เจินเหยียนรับมาเปิดอ่าน เมื่อเห็นเนื้อหาด้านในก็ทำให้นางถึงกับหน้าเปลี่ยนสี

ในงานเลี้ยงวันนั้นมีสหายร่วมงานของบิดาอยู่หลายคน และหนึ่งในนั้นก็มีอนุภรรยาที่เคยเป็นสาวใช้ในจวนเจินกั๋วกงมาก่อน นางเพิ่งออกจากเมื่อปีที่แล้วนี่เอง

คิดดูแล้วบทสนทนาของสาวใช้ตัดแต่งกิ่งดอกไม้สองคนนั้นก็เกิดขึ้นไม่นานหลังจากที่มีการตกลงหมั้นหมายของเจินเมี่ยวและซื่อจื่อจวนเจินกั๋วกง นี้ยังมีอันใดไม่เข้าใจอีกเล่า!

เจินเหยียนกลับห้องด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว

[2ภาพสาลิกาเคียงเหมย หมายถึงการมาเยือนของเรื่องน่ายินดี การได้ประสบสิ่งอันเป็นสิริมงคล เพราะคนจีนเชื่อว่านกสาลิกาเป็นนกมงคล ดอกเหมยจะบานรับฤดูใบไม้ผลิ ในทางสัญลักษณ์หมายถึงการล่วงผ่านช่วงวิกฤต และได้รับความสำเร็จ]

“พี่รอง เป็นอันใดไปหรือ? ”

เจินเหยียนโกรธจนอยากจะระบายออกมา แต่ทำได้เพียงอดทนไว้

เรื่องของบิดานั้นเกิดขึ้นมาหลายวันแล้ว จวนเจิ้นกั๋วกงก็มิได้มีท่าทีอันใด ถ้าการหมั้นหมายนี้ยังมีอยู่ต่อไป การที่นางบอกเล่ามิใช่จะทำให้น้องสาวต้องกังวลโดยเปล่าประโยชน์หรอกหรือ

หากมีปมในใจเช่นนี้ รอให้แต่งออกไปในใจก็ยังคงมีความโกรธเกลียด ภายหน้าจะให้อยู่กันด้วยดีกับซื่อจื่อคงยากยิ่งแล้ว

เจินเหยียนเองมิอาจไม่ยอมรับว่าตอนนั้นน้องสาวของนางก็ทำไม่ถูก การที่อีกฝ่ายลอบกระทำเรื่องพรรค์นี้ก็มีสาเหตุของมันอยู่นั้นเอง

จากความเห็นของนาง อุปนิสัยของเจินเมี่ยวนับวันยิ่งทำให้คนชมชอบ แต่งออกไปแล้วอยู่ด้วยกันอย่างสมานฉันท์ ไม่แน่ว่าอาจแก้ไขความทรงจำไม่ดีในคราแรกได้ แต่หากในใจเจินเมี่ยวมีความไม่พอใจอยู่เช่นกัน คนทั้งสองที่ต่างมีความไม่พอใจในกันจะยิ่งทำให้หัวใจห่างเหินกันมากขึ้นไปอีก

“แค่สาวใช้สองคนทะเลาะกันเท่านั้น ช่างมิรู้จักทำให้คนวางใจได้บ้างเลย”เจินเหยียนเอ่ยยิ้มๆ อย่างไม่รู้จะทำฉันใด

เจินเมี่ยวก็มิได้ถามให้มากความอีก

ทว่าผ่านไปไม่นาน สาวใช้จากสวนเฉินเซียงก็วิ่งมารายงานว่า “คุณหนู ฮูหยินผู้เฒ่าให้ท่านไปพบเจ้าค่ะ”

“ท่านย่าหาข้ามีเรื่องอันใด? จื่อซูเล่า? ” เจินเมี่ยวลุกขึ้นเดินออกไปด้านนอก

คนที่คอยปรนนิบัติในห้องหับของนางมีเพียงจื่อซูหญิงรับใช้วัยสาวเท่านั้น วันนี้นางนำแค่สาวใช้น้อยออกมาด้วยเพียงสองคน

สาวใช้น้อยนั้นได้แต่พูดจาตะกุกตะกักว่า “พี่จื่อซูยัดเบี้ยให้พี่อาโฉวผู้มาส่งข่าว ได้ยินพี่อาโฉวบอกว่ามีคนมาจากจวนเจิ้นกั๋วกง พี่จื่อซูสั่งให้ข้ามาเรียนคุณหนู ส่วนนางนั้นเร่งรุดไปเรือนหนิงโซ่วก่อนแล้วเจ้าค่ะ”

“อืม” ได้ยินสาวใช้น้อยเอ่ยเช่นนี้ ในใจของเจินเมี่ยวพลันเกิดความรู้สึก ‘เป็นเช่นนี้นี่เอง’ นางก้าวเท้าเดินออกไปด้านนอก

“น้องสี่” เจินเหยียนเรียกนางไว้ “ข้าจะไปกับเจ้าด้วย”

“พี่รอง ท่านย่าเรียกข้า ท่านอย่าไปเลย”

เจินเหยียนสีหน้าแน่วแน่ “ไม่ ข้าจะไปกับเจ้า”

สองพี่น้องเดินควงแขนกันไปที่เรือนหนิงโซ่ว

จื่อซูรออยู่ด้านนอก เมื่อเห็นเจินเมี่ยวก็รีบเข้าไปต้อนรับแล้วเดินตามหลังนางไป “คุณหนู เป็นแม่นมผู้อบรมของจวนเจิ้นกั๋วกงเจ้าค่ะ”

เจินเมี่ยวฟังแล้วก็มิได้คิดอันใด เจินเหยียนกลับถอนหายใจโล่งอก ในขณะเดียวกันไฟโทสะในใจก็ประทุขึ้น

ผู้ที่มาคือแม่นมผู้อบรม นั้นแสดงว่ามิได้ถอนหมั้นแต่คุณหนูแห่งจวนปั๋ว กลับต้องถูกแม่นมผู้อบรมของจวนสามีในอนาคตมาอบรมสั่งสอน เรื่องนี้ดั่งตบหน้ากันโดยแรงก็มิปาน

คิดไม่ถึงว่าเมื่อเข้าไปในห้องแล้วก็ต้องพบกับสีหน้าอันย่ำแย่ถึงขีดสุดของฮูหยินผู้เฒ่า

เก้าอี้ด้านข้างที่อยู่ต่ำกว่านั้นมีสตรีสวมชุดสีเขียวเข้มนั่งอยู่

สตรีผู้นั้นมีรูปหน้ายาว ท่าทางเคร่งขรึมเจ้าระเบียบ เมื่อเห็นสองพี่น้องเดินมาก็ลุกขึ้นทันที

“หลานน้อมทักทายท่านย่าเจ้าค่ะ” สองพี่น้องเอ่ยขึ้นพร้อมกัน

เห็นเจินเหยียนเดินมาด้วย ฮูหยินผู้เฒ่าก็รู้สึกแปลกใจอยู่บ้างแต่มิได้พูดอันใดให้มากความ ยกมือสั่งให้คนทั้งสองลุกขึ้น เก็บความหงุดหงิดตนไว้แล้วเอ่ยกับสตรีผู้นั้นว่า “แม่นมหยาง นี่คือหลานสาวสองคนของข้า เจ้ารองเหยียนเอ๋อร์ เจ้าสี่เมี่ยวเอ๋อร์”

เมื่อใดกันที่ต้องให้สาวใช้ผู้หนึ่งมาว่ากล่าวคุณหนูในจวน แต่ยามนี้คนอยู่ใต้ชายคามิอาจไม่ก้มศีรษะต่ำ3 หากเจ้าสี่ถูกถอนหมั้น ทุกอย่างคงจบสิ้น

ได้ยินคำแนะนำของฮูหยินผู้เฒ่า แววตาสำรวจของแม่นมหยางก็พุ่งตกไปบนดวงหน้าของเจินเมี่ยวทันที

[3คนอยู่ใต้ชายคามิอาจไม่ก้มศีรษะต่ำ เป็นสำนวนเปรียบเปรยว่า เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์ที่เป็นรอง จึงจำต้องยอมโอนอ่อนไปก่อน]

วาสนาบันดาลรัก

ละครแนะนำ

ข่าวละครวันนี้ดูทั้งหมด