icon member

อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 8

ตอนที่ 8 ตัดสินใจ

“ว่าอย่างไร” จงหลิงและถงซานต่างก็มองตงป๋อเสวี่ยอิง รอคอยการตัดสินใจของเขา    

หากว่ากันด้วยความรู้สึกแล้ว ที่จริงพวกเขาไม่อยากแยกจากตงป๋อเสวี่ยอิง อย่างไรเสียสำนักวายุก็ห่างจากดินแดนอินทรีหิมะสามแสนกว่าลี้ พอเข้าสำนักแล้ว ก็ต้องอยู่ในสำนักไปตลอด ปกติก็ต้องอยู่ในสำนักเป็นเวลาเกินหกปี บางคนถึงสิบกว่าปีจึงจะเรียนจบออกมาได้ ต้องแยกจากกันเป็นเวลานานถึงเพียงนี้ พวกเขาจะทำใจได้อย่างไรกัน

ชายชราสองคนนี้ล้วนไม่มีลูกหลาน อีกทั้งพวกเขากับตงป๋อเลี่ยและภรรยาก็มีความรู้สึกผูกพันลึกซึ้งยิ่ง ในใจของถงซาน ม่อหยางอวี๋เป็นเจ้านายที่สำคัญที่สุดของเขา ส่วนจงหลิงนั้นแท้ที่จริงมีใจปฏิพัทธ์ให้ม่อหยางอวี๋มาโดยตลอด เพียงแต่เห็นได้ชัดว่า พญางูหกกรอย่างเขา...ม่อหยางอวี๋ย่อมรับไม่ได้อยู่แล้ว ในกลุ่มผจญภัยตอนแรกเริ่มนั้น ม่อหยางอวี๋จึงลงเอยคู่กับตงป๋อเลี่ยในที่สุด

ต่อมาม่อหยางอวี๋ตั้งครรภ์ ชายชราสองคนนี้ก็ดีใจยิ่งนัก ใช้ชีวิตผ่านมาด้วยกัน เมื่อเสวี่ยอิงเกิด พวกเขาก็คอยดูเสวี่ยอิงเติบใหญ่ ที่จริงในหัวใจนั้น พวกเขาก็เห็นเสวี่ยอิงเป็นเหมือนลูกแท้ ๆของตัวเอง

ต้องจากกันเป็นเวลานานจริง ๆ หรือ พวกเขาทำใจไม่ได้จริง ๆ

แต่ “สำนักวายุ” เป็นที่ที่ดีที่สุดในแคว้นอันหยางสิงแล้ว จะเป็นประโยชน์ต่อการเติบโตของตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นอันมาก

“ข้าตัดสินใจไม่ไป” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย

“ทำไมเล่า” จงหลิงพูดอย่างร้อนใจ

“ทำไมถึงไม่ไปเล่า เจ้าจะเป็นอัศวินที่ยิ่งใหญ่ สำนักวายุนี่แหละเป็นที่ที่ดีที่สุด ถึงพวกเราอยากไปก็ยังไปไม่ได้เลย รอพ้นปีใหม่ เจ้าอายุสิบเอ็ดแล้ว ก็ไม่มีทางเข้าไปได้อีกแล้วนะ” ถงซานก็พูดอย่างร้อนใจเช่นกัน

ผู้ที่อ่อนแอ คือผู้ที่ไร้อนาคต

นี่เป็นโลกของผู้ที่แข็งแกร่ง ผู้มั่งคั่งและชนชั้นสูงคือผู้ที่มีพละกำลังแกร่งกล้า

“เจ้าตัดใจจากเจ้าก้อนหินไม่ได้รึ” จงหลิงโพล่งขึ้นมา

ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าพูดว่า “ข้าตัดใจจากเจ้าก้อนหินไม่ได้จริง ๆ นั่นแหละ ปีนี้น้องเพิ่งสี่ขวบ น้องและพวกท่านก็ไม่สนิทกันด้วย...คนที่เขาติดที่สุดก็เห็นจะเป็นข้าแล้ว จนถึงตอนนี้ก็ยังนอนกับข้าอยู่ทุกวัน เดี๋ยวนี้เจ้าก้อนหินไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับท่านพ่อท่านแม่แล้ว เขาต้องการเพียงแค่ข้า พี่ชายคนนี้เท่านั้น ข้าไม่อยากให้วัยเด็กของเขาไร้พ่อแม่ แม้แต่พี่ชายก็ยังไม่มีอีก”

จงหลิงและถงซานเงียบไป พวกเขาสัมผัสได้ถึงความรักทะนุถนอมที่เสวี่ยอิงมีให้น้องชายอย่างแท้จริง

“อย่างน้อยก่อนข้าแปดขวบก็ยังมีท่านพ่อท่านแม่ น้องเพิ่งสี่ขวบ ไม่มีพ่อแม่ไม่มีพี่ชาย...ข้าทำเช่นนี้ไม่ได้หรอก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

“อีกทั้ง…”

“ข้าอยากช่วยท่านพ่อท่านแม่ ไปสำนักวายุจะมีประโยชน์อย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ข้าว่าไม่แน่เสมอไปหรอก”

“หา” จงหลิงและถงซานงุนงง

“จริงอยู่ที่การอบรมสั่งสอนของสำนักวายุนั้นไม่เลว สามารถสร้างอัศวินชั้นฟ้าได้มากต่อมาก มีบางคนถึงขั้นได้เป็นอัศวินดาวตก แต่ว่า… ต่อให้ได้เป็นอัศวินดาวตกก็จะสามารถช่วยท่านพ่อท่านแม่ข้าได้แล้วหรือ ฮึ ท่านลุงข้าแม้จะเป็นถึงปรมาจารย์เวทย์ชั้นจันทร์เงิน แต่ถ้าพูดถึงกฎตระกูลม่อหยางแล้ว เขาก็ไม่มีหนทางทำอะไรได้เลยสักนิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “จะช่วยท่านพ่อท่านแม่ ข้าเกรงว่าจะต้องแข็งแกร่งยิ่งกว่าท่านลุง ต้องได้เป็นอัศวินชั้นสมญา หรือแม้กระทั่งได้เป็นชีวิตเหนือธรรมดา”

จงหลิงและถงซานมองหน้ากันแวบหนึ่ง ตกตะลึงอยู่บ้าง

พวกเขาไม่เคยพูดถึงข้อเท็จจริงของตระกูลม่อหยางโดยละเอียด แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับสรุปออกมาว่าอย่างน้อยต้องเป็นอัศวินสมญาหรือแม้กระทั่งชีวิตเหนือธรรมดาจึงจะจัดการได้ เด็กคนนี้ช่างฉลาดนัก เพราะว่าข้อสรุปนี้ถูกต้องจริง ๆ

“อัศวินสมญา จำนวนน้อย หายากยิ่งนัก”

“อัศวินเหนือธรรมดายิ่งมีแต่ในตำนาน ข้าค้นหาบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับอัศวินเหนือธรรมดามากมาย รายละเอียดบางเรื่องแต่งเติมจนเหลือเชื่อ แต่เส้นทางการเติบโตของพวกเขาสิที่เป็นเรื่องจริง” เขาพูด “ข้าเคยรวบรวมเส้นทางการเติบโตของผู้แข็งแกร่งเหนือธรรมดาเหล่านี้”

“ผู้แข็งแกร่งเหนือธรรมดาในประวัติศาสตร์หนึ่งร้อยยี่สิบห้าท่าน ที่คลำทางฝึกเอาเอง ฝึกฝนผ่านความเป็นความตายมากมายจนได้กลายเป็นพวกเหนือธรรมดานั้นมีหนึ่งร้อยเก้าท่าน”

“ส่วนพวกสำนักวิชานั้น มีเพียงสิบหกท่านเท่านั้นเอง”    

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปยังจงหลิงและถงซาน “นี่ชี้ให้เห็นอะไร หากอยากจะเป็นชีวิตเหนือธรรมดาแล้ว พวกสำนักวิชาต่างหากที่กลับเป็นทางที่อ่อนแอ”

จงหลิงและถงซานตื่นตระหนกเสียแล้ว

แต่ไหนแต่ไรมา พวกเขาไม่เคยคิดถึงตรงนี้มาก่อน พวกเขารู้แค่ว่าสำนักวิชาที่ผู้แข็งแกร่งเหนือธรรมดาก่อตั้งย่อมต้องเป็นที่ที่วิเศษมากอยู่แล้ว ดีแค่ไหนกันที่มีอัศวินชั้นฟ้ามากต่อมาก แม้กระทั่งอัศวินชั้นดวงดารา...แต่ผู้แข็งแกร่งเหนือธรรมดาแต่ละท่านที่เล่าสืบต่อกันมาหรือกระทั่งที่ถูกบันทึกแล้วแซ่ซ้องต่อ ๆ กันมานั้น ส่วนใหญ่ก็ไม่เคยเข้าสำนักวิชามาก่อนจริง ๆ

ล้วนแต่คลำทางฝึกเอาเองคนเดียวตามลำพังทั้งสิ้น

“เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ไปได้เล่า” ถงซานแตกตื่นจนไม่กล้าเชื่อ

“ตำราก็อยู่ที่ห้องหนังสือข้า ข้ายังเคยจงใจสั่งให้คนไปเมืองอี๋สุ่ยเก็บรวบรวมเอาคัมภีร์ที่บันทึกเรื่องชีวิตเหนือธรรมดา” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “เรื่องจริงก็เป็นเช่นนี้แหละ แม้ว่าผู้มีพรสวรรค์เลิศมากมายเข้าร่วมสำนัก แต่สุดท้ายก็ยากที่จะได้เป็นพวกเหนือธรรมดา”

“ข้าก็เคยค้นคว้าอย่างละเอียดว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ได้”

“จากคัมภีร์วิถีหอกยาวของอัศวินเหนือธรรมดาที่ท่านพ่อทิ้งไว้ให้ข้า ข้ามีข้อสรุปอย่างหนึ่ง”ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “จะเป็นพวกเหนือธรรมดาได้ จำเป็นจะต้องเดินออกจากเส้นทางที่เป็นของตนเอง หากแต่พวกนักเรียนของเหล่าอัศวินนั้น ด้วยการชี้แนะของอาจารย์ ในช่วงแรกพวกเขาฝึกแบบง่ายกว่า แล้วค่อย ๆ เพิ่มระดับสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อจำเป็นต้องเดินออกจากเส้นทางของตนเองนั้น ไม่มีการชี้แนะของอาจารย์ขึ้นมาอย่างกะทันหัน พวกเขาก็กลายเป็นคนตาบอด ไม่รู้ว่าจะเดินต่อไปข้างหน้าอย่างไร”

“แต่พวกที่ไม่ได้เข้าสำนัก ไม่มีการชี้แนะที่เป็นระบบ”

“พวกเขาจำต้องคลำทางคนเดียว เมื่อพบกับอุปสรรคใด ก็ต้องลำบากฝ่าฟันไปด้วยตนเอง ทุกก้าวยากเข็ญยิ่ง แต่บนเส้นทางนี้ พวกเขาได้ตระหนักรับรู้ด้วยตนเอง ทางเส้นนี้คือทางที่เดินหาออกมาเอง รู้ได้ด้วยตัวเอง จนกระทั่งพวกเขาคลำหาทางก้าวเข้าสู่ชีวิตเหนือธรรมดาได้ด้วยตนเอง”

นัยน์ตาของตงป๋อเสวี่ยอิงเจิดจ้า “การชี้แนะที่ละเอียดอีกทั้งเป็นระบบมากนั้น เป็นประโยชน์สำหรับการฝึกอบรมอัศวินจำนวนมาก แต่จะอบรมผู้แกร่งกล้าเหนือธรรมดาโดยแท้จริงออกมาสักคน การสั่งสอนแบบละเอียดเช่นนั้น กลับกลายเป็นโซ่ตรวน จะทำลายโซ่ตรวนเหล่านั้นทำได้ยากยิ่ง”

ถงซานมองตงป๋อเสวี่ยอิงอย่างตื่นตะลึง พูดแหย ๆ ว่า “ไม่เสียทีที่เป็นบุตรของเจ้านาย พูดได้เป็นชุด ๆ”

จงหลิงกลับหัวเราะ “นึกไม่ถึงว่า เรื่องราวปรัมปราเหล่านั้นจะซ่อนหลักการเช่นนี้เอาไว้เสียด้วย อย่างน้อยข้าก็รู้สึกว่า...ข้อสรุปของเจ้ามีหลักการยิ่ง”

“บางทีข้อสรุปของข้าอาจจะผิดก็ได้”

“แต่ตัวเลขนั้นผิดไม่ได้อยู่แล้ว”

“อัศวินเหนือธรรมดาผู้คงนามไว้ในประวัติศาสตร์ได้หนึ่งร้อยยี่สิบห้าท่าน มีหนึ่งร้อยเก้าท่านที่ไม่เคยเข้าร่วมสำนักวิชามาก่อน ดังนั้น ข้าก็จะไม่เข้าร่วมสำนัก” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

“ฮ่า ๆ นั่นเป็นเพราะเจ้าตั้งความหวังไว้สูง สำหรับเด็กมากมายนั้น ได้เป็นอัศวินชั้นฟ้าก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ได้เป็นอัศวินชั้นดวงดาราก็เก่งกาจมาก จะมีสักกี่คนที่ตั้งเป้าหมายสูงถึงขนาดเป็น “ชีวิตเหนือธรรมดา” เล่า” จงหลิงยิ้มพูด “ดูจากการอบรมอัศวินชั้นที่ต่ำกว่าเหนือธรรมดาลงมา พวกสำนักวิชาก็ยังมีส่วนช่วยอย่างชัดเจนยิ่ง อย่างน้อยอัศวินมากต่อมากก็เป็นพวกสำนักวิชา”

“ใช่” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

เขาเห็นด้วยในข้อนี้

แต่เป้าหมายของเขาไกลกว่านั้น

“เจ้าอ่านนิทานปรัมปราพวกนั้นก็สรุปข้อมูลออกมา มิเสียทีที่เป็นบุตรของอาอวี๋ หากเจ้าไปเป็นปรมาจารย์เวทย์ ก็คงต้องอนาคตไกลแน่” จงหลิงเอ่ยชม ปรมาจารย์เวทย์ต้องรู้จักศึกษาตีความความลับฟ้าดิน แนวคิดเช่นนี้สำคัญมาก ปรมาจารย์เวทย์ผู้ยิ่งใหญ่จริง ๆ ทุกคนล้วนทรงปัญญาอย่างยิ่ง

“น่าเสียดายที่พลังจิตของข้าไม่พอ” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มพูด “ไม่เหมาะจะเป็นปรมาจารย์เวทย์”

ไม่เหมือนอัศวิน

อัศวินนั้น ขอเพียงหมั่นฝึกฝน มีความตั้งใจ ทุกคนไม่ว่าชายหญิงล้วนสามารถคว้ามาได้ทั้งนั้น

ข้อกำหนดเรื่องพรสวรรค์ของปรมาจารย์เวทย์นั้นสูงเกินไป อย่างแรกคือข้อกำหนดเรื่องพลังจิตก็สูงมากแล้ว หากพลังจิตไม่พอ แค่คุณสมบัติที่จะลองก็ไม่มีด้วยซ้ำไป

“พอขึ้นปีใหม่เจ้าก้อนหินก็ห้าขวบแล้ว ตอนนี้ก็ลองทดสอบดูได้แล้ว ดูว่าพลังจิตเป็นอย่างไรบ้าง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ไม่แน่ว่าตอนนี้ก็อาจจะถึงขีดสุดแล้ว”

พลังจิตยิ่งถึงขีดสุดได้เร็วเท่าไหร่ ก็หมายถึงพรสวรรค์ยิ่งสูงเท่านั้น

โดยปกติหากก่อนสิบขวบยังไม่ถึงขีดสุดก็หมดหวังแล้ว ท่านแม่ไปถึงขีดสุดได้ในปีที่อายุได้หกปี

อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ละครแนะนำ

ข่าวละครวันนี้ดูทั้งหมด