icon member

อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 33

บทที่ 7 หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นตำลึงทอง

ภาคที่ 2 ตระกูลซือแห่งตำบลชิงเหอ 

    ใต้เท้าซืออานพูดว่า “การจะได้บรรดาศักดิ์โหวเจวี๋ยกิตติมศักดิ์มานั้น จะต้องทำคุณูปการใหญ่หลวง หากท่านพลิกอ่านคัมภีร์แลกของล้ำค่าให้ละเอียดจะพบว่าข้างในมีข้อนี้อยู่ บรรดาศักดิ์โหวเจวี๋ยกิตติมศักดิ์คนหนึ่งนั้น....ต้องใช้สองหมื่นแต้มคุณูปการมาแลก”

    “มีเพียงวิธีนี้เท่านั้นหรือ”ตงป๋อเสวี่ยอิงย่อมพลิกอ่านดูไปก่อนนานแล้ว

แต่สองหมื่นแต้มคุณูปการนั้นช่างห่างไกลเกินไปแล้ว

    ภารกิจที่เขาสามารถรับได้ในตอนนี้ล้วนเป็นชั้นเหล็กดำทั้งสิ้น แต้มคุณูปการก็ประมาณสิบถึงร้อยแต้มเเท่านั้น แค่ร้อยแต้มคุณูปการก็ล้วนอันตรายถึงชีวิตและยังสิ้นเปลืองเวลามากอีกด้วย 

ภารกิจที่ได้ร้อยแต้มคุณูปการต่อครั้ง ต้องทำสองร้อยครั้งเต็มๆจึงจะสะสมได้ถึง “สองหมื่นแต้มคุณูปการ”

หากครั้งหนึ่งใช้เวลาสองเดือน...ต่อเนื่องโดยไม่พักผ่อนเลย ปีหนึ่งก็ทำสำเร็จได้เพียงหกครั้ง ต้องใช้เวลาสามสิบกว่าปีจึงจะพอมีความหวังสะสมได้ครบ อีกทั้งรายการภารกิจชั้นเหล็กดำที่หอภูผามังกรส่งมาให้ก็มีเพียงปึกเดียวเท่านั้น ไหนเลยจะมีภารกิจชั้นเหล็กดำที่ได้ร้อยแต้มคุณูปการมากถึงเพียงนั้นเล่า

”ไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงถามต่อ

“ไม่มี” ใต้เท้าซืออานส่ายศีรษะ “โหวเจวี๋ยกิตติมศักดิ์ไม่มีทางอาศัยโชคเสี่ยงดวงได้ มีเพียงอาศัยคุณูปการใหญ่หลวงเท่านั้น สำหรับผู้แกร่งกล้าชั้นสมญาแล้วล้วนต้องเผชิญอันตรายระหว่างความเป็นความตายหลายครั้งจึงสามารถสะสมแต้มคุณูปการได้มากมายเพียงนี้ ดังนั้นโหวเจวี๋ยกิตติมศักดิ์จึงได้รับความเคารพจากผู้คนมากกว่า เพราะว่าเบื้องหลังนั้นมีชั้นสมญาท่านหนึ่งทำเพื่อเขาโดยไม่คำนึงถึงอันตรายต่อชีวิตหลายครั้งหลายครา”

“เฮ้อ”

ตงป๋อเสวี่ยอิงหลับตา

ท่านพ่อ……

ท่านพ่อ……ที่แท้แล้วข้าควรจะทำอย่างไรดี

อยากจะสังหารตระกูลม่อหยางแล้วช่วยท่านพ่อกลับมาให้รู้แล้วรู้รอดนัก แต่ตระกูลม่อหยางเป็นตระกูลเก่าแก่ที่สืบทอดกันมากว่าพันปี ผู้แกร่งกล้ามากมายดุจเมฆ ลำพังม่อหยางเฉินไป๋นั่นเพียงผู้เดียว อาศัยเกราะแปรธาตุก็สามารถปล่อยพลังชั้นสมญาออกมาได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพลังอันแกร่งกล้าอื่นอีก ยังมีเสมือนเหนือธรรมดาท่านนั้นอีก แม้เป็นเสมือนเหนือธรรมดา แต่เกรงว่าเพียงกระบวนท่าเดียวก็คงสังหารตนได้แล้ว

    “อยากจะได้สองหมื่นแต้มคุณูปการ ไปทำภารกิจตอนนี้นับว่าโง่เง่าที่สุด สายเลือดโบราณกาลของข้าเพิ่งตื่นรู้ได้ไม่นาน ร่างกายของข้ายังแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยการหล่อเลี้ยงของพลังการต่อสู้ พลังการต่อสู้ก็พัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็วยิ่ง พลังของข้ายกระดับขึ้นมากอย่างเห็นได้ชัดทุกวัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงแอบพูด “ในสถานการณ์ธรรมดา ตอนนี้พลังของข้าเปรียบได้กับชั้นดาวตก อีกไม่นานนักก็จะสามารถเทียบได้กับชั้นดาวตกแล้ว หรือแม้กระทั่งชั้นสมญาด้วยซ้ำไป”

       “ถึงตอนนั้น ข้าได้รับคำสั่งสำริด ก็สามารถไปรับภารกิจชั้นสำริดได้โดยตรง อย่างต่ำที่สุดก็หนึ่งพันแต้มคุณูปการ ที่อันตรายหน่อยก็หนึ่งหมื่นแต้มคุณูปการแล้ว ทำสำเร็จแค่สองครั้งก็เพียงพอแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงคิด

            ลับมีดไม่เสียเวลาตัดฟืน   ยกระดับพลังของตนขึ้นไปก่อน ผลสำเร็จในการทำภารกิจจึงจะสูงขึ้นมาก

เขาเข้าใจดีว่านี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการสะสมให้ได้สองหมื่นแต้มคุณูปการ

    แต่ว่า...

แล้วท่านพ่อจะทำอย่างไรเล่า

        ท่านพ่อจะสามารถยืนหยัดได้ถึงวันที่ตนสะสมได้ถึงสองหมื่นแต้มคุณูปการหรือไม่

  ……

         ในห้องโถงบรรยากาศกดดันยิ่ง

       ที่วางแขนแหลกละเอียดกระจายเต็มพื้น ตงป๋อเสวี่ยอิงนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างเงียบงัน ใต้เท้าซืออานที่อยู่ด้านข้าง ทำได้เพียงดื่มน้ำชาเงียบๆ เท่านั้น

      “ช่วยท่านพ่อข้าออกมาไม่ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงน้ำเสียงแหบแห้ง “แต่ข้าอยากจะรักษาชีวิตท่านพ่อเอาไว้ พอจะมีวิธีหรือไม่”

      “แม้ม่อหยางเฉินไป๋จะส่งคนไปทรมาน แต่ก็ให้นักเวทย์ของโรงหลอมแปรธาตุใช้เวทมนตร์รักษาให้ครั้งแล้วครั้งเล่า เขาคงไม่ปล่อยให้บิดาท่านเสียชีวิตหรอก” ใต้เท้าซืออานพูด

      “คงไม่อย่างนั้นหรือ”

     ตงป๋อเสวี่ยอิงกัดฟันพูดว่า “ชีวิตของท่านพ่อข้า จะให้ม่อหยางเฉินไป๋ควบคุมไม่ได้หรอก อีกทั้งท่านพ่อข้าเป็นแรงงานหนักมาหลายปีแล้ว ไม่แน่ว่าเมื่อไหร่ที่ม่อหยางเฉินไป๋ทรมานท่านพ่อจนหมดสนุกแล้ว ถึงตอนนั้นเป็นไปได้มากว่าท่านพ่อข้าจะต้องทิ้งชีวิตไป”

 “ข้าจะรักษาชีวิตท่านพ่อข้าเอาไว้” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองใต้เท้าซืออาน“หากมีตำลึงทองมากพอ แม้แต่เหนือธรรมดาผู้แกร่งกล้าก็สามารถเชิญได้ ข้าเชื่อในพลังของตำลึงทอง”

     เงิน มีเสน่ห์ทำให้ผู้คนนับไม่ถ้วนหวั่นไหว

      “ใต้เท้าซืออาน ต้องใช้ตำลึงทองมากเพียงใดจึงจะรักษาชีวิตท่านพ่อข้าเอาไว้ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงถาม ถ้าหากสามารถเปิดปากโพล่งออกไปว่าสิบล้านตำลึงทอง เกรงว่าแม้แต่เหนือธรรมดาผู้แกร่งกล้าก็คงยิ้มแย้มแล้วออกไปช่วยและปกป้องคน แต่เห็นได้ชัดว่าจำนวนตำลึงทองที่จะทำให้ชีวิตเหนือธรรมดาหวั่นไหวได้นั้น...ไม่ใช่จำนวนที่ตงป๋อเสวี่ยอิงจะรับไหว

 “ตำลึงทองหรือ” ใต้เท้าซืออานครุ่นคิดพักหนึ่ง “หากท่านเจ้าแดนมีตำลึงทองมากพอ ข้ามีความคิดหนึ่งที่อาจจะพอสำเร็จได้”

      “เชิญพูดมาเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

       “ก่อนหน้านี้ตอนที่ข้าช่วยท่านสืบหาข่าวคราวของบิดามารดาท่าน โรงหลอมแปรธาตุแห่งทะเลสาบหอมบูรพาที่บิดาท่านอยู่เป็นโรงหลอมที่เป็นหัวใจที่สำคัญอย่างยิ่งยวดของตระกูลม่อหยาง ผู้รับผิดชอบนั้นเป็นปรมาจารย์แปรธาตุที่เยี่ยมยอดอย่างยิ่งผู้หนึ่ง พลังนักเวทย์ของเขาอยู่ในชั้นจันทร์เงิน ทั้งยังถนัดในเรื่องแปรธาตุมากกว่า สถานะในตระกูลม่อหยางยังอยู่เหนือม่อหยางเชินและม่อหยางเฉินไป๋เสียอีก” ใต้เท้าซืออานพูด

        ตงป๋อเสวี่ยอิงตาเป็นประกาย ตระกูลเก่าแก่ทุกตระกูล...ล้วนต้องมีปรมาจารย์แปรธาตุผู้ยิ่งใหญ่สักคน

      “เขาควบคุมทั้งโรงหลอมแปรธาตุทีเดียว ในโรงหลอมแปรธาตุนั้น ปรมาจารย์แปรธาตุท่านนี้พูดคำไหนคำนั้น” ใต้เท้าซืออานพูด “หากเขายอมช่วยบิดาท่าน ก็จะสามารถรักษาชีวิตบิดาท่านไว้ได้อย่างง่ายดาย หรือแม้กระทั่งทำให้บิดาท่านไม่ต้องถูกทรมานอีกต่อไป”

“ไปขอให้เขาช่วยเถิด” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด

      “ปรมาจารย์แปรธาตุท่านนี้ตาสูงนัก หากตำลึงทองน้อยไปแล้ว เกรงว่าเขาคงจะดูถูก” ใต้เท้าซืออานพูด “ข้าว่าสักหนึ่งแสนตำลึงทองคงจะพอสำเร็จได้ หากท่านสามารถหาได้หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นตำลึงทอง...ข้าก็จะช่วยเหลือท่านในเรื่องนี้ โดยหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นตำลึงทองนั้น หนึ่งหมื่นตำลึงทองเป็นค่าผลงานให้คนของหอภูผามังกรที่จะทำเรื่องนี้ หนึ่งแสนตำลึงทองเพื่อซื้อปรมาจารย์แปรธาตุท่านนี้ให้สำเร็จ”

     “หากล้มเหลวแล้ว หนึ่งแสนตำลึงทองจะคืนให้ ส่วนค่าผลงานจะไม่คืน” ใต้เท้าซืออานพูด

    เครือข่ายข่าวสารของหอภูผามังกรครอบคลุมทั้งใต้หล้า

       อีกทั้งหอภูผามังกรก่อตั้งมานั้น นอกจากเพื่อสอดส่องใต้หล้าแล้ว เดิมทีก็เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้แกร่งกล้าในใต้หล้าด้วย เรื่องเล็กน้อยที่ออกจะดำมืดอยู่บ้างนี้ ก็ไม่นับว่าฝืนกฎอันใด

    “หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นตำลึงทองหรือ ได้”

    พอตงป๋อเสวี่ยอิงพลิกมือ กลางฝ่ามือก็ปรากฏตั๋วเงินปึกหนาขึ้นมา “ตั๋วเงินของร้านเงินแห่งอาณาจักร หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นพอดี”

    ใต้เท้าซืออานสะดุ้งโหยง

    สหายเอ๋ย

      หนึ่งแสนหนึ่งหมื่นตำลึงทองเชียวนะ

     เอาออกมาง่ายๆ เช่นนี้เลยหรือ  ก่อนหน้านี้เมื่อไป๋หยวนจือรับศิษย์ถ่ายทอดเองนั้นเรียกค่าคารวะอาจารย์ถึง  “ห้าหมื่นตำลึงทอง” แต่นั่นต้องรับผิดชอบศิษย์ถ่ายทอดเองไปตลอดชีวิต แต่ในที่สุดตงป๋อเสวี่ยอิงก็เพียงนำหัวใจจันทร์เงินไปให้ มิใช่ห้าหมื่นตำลึงทอง เพราะจะหาตำลึงทองมาได้มากถึงเพียงนี้ ยากเสียยิ่งกว่ายากจริงๆ

       เห็นทีการสังหารราชันย์หมาป่าจันทร์เงินและเสือดาวเงามืดในครั้งนี้ คงจะหาเงินได้เร็วทีเดียว

       แต่ต่อให้เป็นอัศวินสมญาก็ไม่อยากจะหาเงินได้เร็วเช่นนี้...เพราะไม่แน่ว่าอาจจะพบสัตว์มารที่เกินความคาดหมายของตนก็เป็นได้ เช่นนั้นก็เท่ากับเอาชีวิตไปทิ้งแล้ว ที่จริงเมื่อพบเสือดาวเงามืดในครั้งนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เกือบจะเอาชีวิตไปทิ้งแล้วจริงๆ

         ได้ตำลึงทองมากมายเพียงนี้ โดยทั่วไปก็คือพวกนักผจญภัยไปเสี่ยงโชคผจญภัยตามสถานที่อันตรายต่างๆ หรือไม่ก็ไปเสี่ยงชีวิตยังหุบเขาทำลายล้าง

         ไม่เสี่ยงชีวิต จะหาตำลึงทองได้มากเพียงนี้นั้นยากนัก

      เงินหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นตำลึงทองที่ตงป๋อเสวี่ยอิงนำออกมานั้น...ส่วนหนึ่งมาจากการขายขนและร่างของราชันย์หมาป่าจันทร์เงินออกไป ค่าวัตถุสำคัญอื่นๆนั้นกว่าเจ็ดหมื่นตำลึงทอง ส่วนตำลึงทองที่กองมีดโค้งติดตัวแล้วทิ้งเอาไว้ และตำลึงทองที่ตงป๋อเสวี่ยอิงติดตัวมา รวมทั้งสิ้นหนึ่งแสนสองหมื่นตำลึงทอง ครั้งนี้หยิบออกมากว่าหนึ่งแสนหนึ่งหมื่นตำลึงทองแล้ว

 “วางใจเถิด ข้าจะนำข่าวมาแจ้งให้ท่านทราบภายในหนึ่งเดือน วางใจให้เต็มที่เถิด เรื่องนี้มีทางสำเร็จกว่าเก้าส่วน นักเวทย์และปรมาจารย์แปรธาตุเหล่านี้...ล้วนเห็นแก่เงินด้วยกันทั้งสิ้น การทดลองของพวกเขาล้วนต้องสิ้นเปลืองของมากมาย เงินหนึ่งแสนตำลึงทองเพื่อปกป้องคนงานในโรงหลอมคนหนึ่ง ยังพอมีโอกาสอยู่” ใต้เท้าซืออานพูด

      ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า

หากไม่สำเร็จ ก็ค่อยเพิ่มเงิน

เรื่องที่ตนสังหารราชันย์หมาป่าจันทร์เงินได้นั้นแพร่ออกไปเป็นวงกว้าง ดังนั้นจึงมีพ่อค้ามารับซื้อพวกขนราชันย์หมาป่าจันทร์เงินและของอื่นๆ ไปเอง แต่ “ซากเสือดาวเงามืด” แม้จะจัดการชำแหละเรียบร้อยหมดแล้วแต่ก็ยังไม่ได้ขายออกไป

      “ต้องรบกวนใต้เท้าซืออานแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “หากเรื่องนี้สำเร็จลงได้ ข้าจะไม่ลืมน้ำใจของใต้เท้าซืออานในครั้งนี้เป็นแน่”

 “ฮ่าฮ่า วางใจเถิด” ใต้เท้าซืออานได้ยินตงป๋อเสวี่ยอิงพูดเช่นนั้นก็ยิ้มออกมาทันที หากตนทำเรื่องนี้สำเร็จ ตงป๋อเสวี่ยอิงย่อมต้องจดจำน้ำใจของเขาในครั้งนี้ ตอนนี้น้ำใจต่อตงป๋อเสวี่ยอิงยังไม่นับเป็นอะไร แต่หากภายภาคหน้าเป็นชั้นสมญา ก็ย่อมต่างออกไปแล้ว

  ……

     เครือข่ายความสัมพันธ์ของหอภูผามังกรนั้นแน่นแฟ้นนัก ไม่นานใต้เท้าซืออานก็ติดต่อกับผู้ดูแลหอภูผามังกรแห่งตำบลตั๋วอวี่ในแคว้นตะวันออกได้ ธุระทั้งหมดก็มอบให้เป็นหน้าที่ของผู้ดูแลคนนั้นแล้ว

    แม้ตระกูลม่อหยางจะยิ่งใหญ่คับฟ้าในตำบลตั๋วอวี่ แต่หอภูผามังกรเป็นเอกเทศจึงเป็นข้อยกเว้น

หอภูผามังกรใช่ว่าจะถูกตระกูลธรรมดาต่างๆ กระทบได้ เช่นใต้เท้าซืออานพูดออกมาโดยตรงว่าต้นตระกูลซือ “ซือเหลียงหง” นั้นเป็นแม่มดเฒ่า  เพราะเขาไม่กังวลว่าตระกูลซือจะข่มขู่เขาได้ ทั้งตัวเขาเองกับตระกูลซือยังมีบุญคุณความแค้นต่อกันด้วย

       แน่นอนว่าตระกูลอันดับหนึ่งในแคว้นอันหยางสิงอย่าง “ตระกูลฉางเฟิง” นั้น หอภูผามังกรในท้องถิ่นอื่นอาจยังต้านทานได้ แต่หอภูผามังกรในแคว้นอันหยางสิงก็ต้องก้มหัวให้แล้ว

แต่ตระกูลซือและตระกูลม่อหยางล้วนไร้ความสามารถ

  ******     

โรงหลอมแปรธาตุแห่งทะเลสาบหอมบูรพา ตำบลตั๋วอวี่ในแคว้นตะวันออก   

      ทะเลสาบหอมบูรพาเป็นทะเลสาบที่สวยงามมากแห่งหนึ่ง ทะเลสาบใสกระจ่างดุจกระจก ข้างทะเลสาบมีโรงหลอมแปรธาตุที่ยิ่งใหญ่และมิดชิดราวป้อมปราการ ตรงกลางสุดของโรงหลอมแปรธาตุก็คือเจดีย์นักเวทย์สูงลิ่ว เจดีย์นักเวทย์นี้เป็นของปรมาจารย์แปรธาตุสวี่กวงชิง ปรมาจารย์สวี่กวงชิงท่านนี้แม้จะเป็นเพียงนักเวทย์ชั้นจันทร์เงิน แต่ในด้านการแปรธาตุแล้ว นับได้ว่าเป็นอันดับหนึ่งในตำบลตั๋วอวี่

       ปรมาจารย์แปรธาตุเช่นนี้ ที่จริงแล้วก็มีตระกูลอื่นที่ยิ่งใหญ่กว่าเรียนเชิญ แต่ตระกูลม่อหยางกลับเชิญสวี่กวงชิงมาอยู่ด้วยได้สำเร็จ สวี่กวงชิงอาศัยฐานะ “ผู้อาวุโสต่างตระกูล” สามารถเข้าอยู่ในสมาคมผู้อาวุโสของตระกูลได้

ที่สวี่กวงชิงยอมเข้าร่วมกับตระกูลม่อหยางนั้น ก็ด้วยเหตุที่บ้านเกิดเขาอยู่ในตำบลตั๋วอวี่ มิเช่นนั้นก็ไม่แน่ว่าจะเข้าร่วมกับตระกูลม่อหยาง

ข้างฟันเฟืองที่ร้อนดังไฟนั้น บุรุษวัยกลางคนที่เปลือยแขนอยู่นั้นเหงื่อท่วมร่าง เขากำลังออกแรงผลักอยู่อีกด้านอย่างสุดแรง นี่ก็คือตงป๋อเลี่ย ด้านข้างยังมีคนงานอีกมากมายทำงานอยู่

    “เร็วหน่อย”

    “เจ้าเป็นถึงอัศวินชั้นฟ้า ใช้แรงให้มากหน่อยสิ” สายตาของผู้คุมงานด้านข้างมองมายังตงป๋อเลี่ยเป็นระยะ แส้ก็ฟาดลงมาเป็นระยะเช่นกัน

    ตงป๋อเลี่ยผอมซูบลงกว่าแต่ก่อน

    เขาทำงานไปโดยไม่ปริปาก 

    ทำงานเหนื่อยหนักอย่างไม่รู้วันรู้คืน บางครั้งยังถูกลงโทษทรมานรูปแบบต่างๆ วันคืนเหล่านี้ไร้ที่สิ้นสุด เป็นฝันร้ายจากนรกโดยแท้ แต่ตงป๋อเลี่ยก็กัดฟันทน เพราะเขายังไม่ถอดใจ เขายังมีความปรารถนาอันแรงกล้า ภรรยาของเขา บุตรชายทั้งสองของเขา...เขายังมีภาระผูกพันมากมาย เขายังต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป

    ต่อให้เป็นเหมือนสุนัขตัวหนึ่ง เขาก็ต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป

   “ท่านปรมาจารย์”

    “ท่านปรมาจารย์”

    ทันใดนั้นพวกผู้คุมงานรอบข้างก็ตัวสั่นขึ้นมา เรียกขานอย่างเคารพนอบน้อม คนงานบางคนก็สะดุ้งโหยง

    เพียงได้เห็นชายชราผมดำสวมอาภรณ์แดงผู้หนึ่งเดินเข้ามาอย่างเนิบช้า คนทั้งหมดล้วนเคารพนอบน้อมไม่กล้าสูดหายใจ คนตรงหน้าผู้นี้คือผู้อาวุโสของตระกูล ทั้งยังเป็นเจ้านายของโรงหลอมแปรธาตุที่พูดคำไหนก็คำนั้น...ท่านปรมาจารย์สวี่กวงชิง  

“ช่วงนี้ข้าต้องทำการทดลอง ต้องการบางคนมาช่วย” ปรมาจารย์สวี่กวงชิงพูดสบายๆ “ขอเพียงรับการทดลองบางอย่างของข้า พวกเจ้าไม่ต้องทำงานพวกนี้ก็ได้ เงินค่าแรงที่ได้รับก็ยังมากขึ้นด้วย”

คนทั้งหมดล้วนกลั้นใจ     

การทดลองของปรมาจารย์แปรธาตุหรือ 

        ใบหน้าของเหล่าผู้คุมงานล้วนซีดขาว ใครจะโง่จนกล้าอาสาไปเข้าร่วมเล่า

 “นักโทษที่นี่มีเท่าใดกัน” ปรมาจารย์สวี่กวงชิงเห็นไม่มีผู้อาสา จึงขมวดคิ้ว เหล่าคนงานที่เป็นคนงานของตระกูลนั้นยังพอมีอิสระอยู่บ้าง แต่นักโทษนั้น สามารถถูกกระทำได้ตามอำเภอใจ

“เรียนท่านปรมาจารย์ ที่นี่มีนักโทษสองพันกว่าคนขอรับ” หัวหน้าผู้คุมงานด้านข้างรีบตอบทันที

     “นำรายนามนักโทษทั้งหมดมาให้ข้า พลังของพวกเขาก็ต้องเขียนให้ชัดเจนด้วย ข้าจะเลือกบางคนมาทดลอง” ปรมาจารย์สวี่กวงชิงกำชับ

      ขอรับ

หัวหน้าผู้คุมงานคำนับรับคำสั่งทันที

ในวันนั้น ก็มีนักโทษที่โชคไม่ดีสิบสองคนถูกเลือกให้ไปรับการทดลองของปรมาจารย์แปรธาตุ ในนั้นมีนักโทษอัศวินชั้นฟ้าสองคน นักโทษอัศวินชั้นดินห้าคน และนักโทษอัศวินธรรมดาอีกห้าคน ท่ามกลางสายตาเห็นใจจากคนอื่นรอบด้าน นักโทษเหล่านั้นไปพบปรมาจารย์แปรธาตุ บ้างก็ตื่นตระหนก บ้างก็หมดหวัง บ้างก็สับสน     

“เจ้า ตงป๋อเลี่ยใช่ไหม อยู่ต่อก่อน” ปรมาจารย์สวี่กวงชิงกำชับ

นักโทษคนอื่นจากไปหมดแล้ว ตงป๋อเลี่ยใส่เสื้อผ้าปุปะ ยืนอย่างตื่นเต้นอยู่ตรงนั้น

      ปรมาจารย์สวี่กวงชิงก้มหน้าพลิกม้วนสาส์นดูแล้วพูดขึ้นอย่างสบายๆ ว่า “ตงป๋อเลี่ย มีคนจ่ายเงินหนึ่งแสนตำลึงทองเพื่อรักษาชีวิตเจ้า นับจากวันนี้ไป เจ้าก็อยู่กับข้าที่นี่ เป็นผู้ช่วยคนหนึ่งของข้า งานยิบย่อยเจ้าไม่ต้องทำ พวกของหนักนั้นพวกลูกศิษย์ข้าไม่มีแรงยก เจ้าทำก็แล้วกัน”

    “ผู้ช่วยหรือ”ตงป๋อเลี่ยสะดุ้ง

“เจ้าอยู่กับข้าที่นี่อย่างสบายใจเถอะ ไม่มีผู้ใดกล้าบุกรุกเจดีย์นักเวทย์หรอก” สวี่กวงชิงกำชับ “พอแล้ว จากนี้ไปเจ้าก็อยู่ในเจดีย์นักเวทย์อย่างเชื่อฟังไปตลอด ไม่ออกไปไหนก็พอ ส่วนจะทำงานอะไรนั้น ศิษย์ข้าจะบอกเจ้าอย่างละเอียดอีกที ลงไปเถิด”

  “ขอรับ ท่านปรมาจารย์” ตงป๋อเลี่ยรู้สึกงุนงง รู้สึกไม่เชื่อสายตาตนเองอยู่บ้าง

        วันคืนที่เลวร้ายดังฝันร้ายจากนรก จบลงเช่นนี้เองหรือ

       ผู้ช่วยทดลองนั้นสบายกว่างานหนักในโรงหลอมตั้งมากโข

“สัดส่วนโลหะมีปัญหาเช่นนั้นหรือ” ปรมาจารย์สวี่กวงชิงขมวดคิ้วมองม้วนสาส์นแล้วพินิจอย่างถี่ถ้วน สำหรับเขาแล้ว นี่เป็นเพียงเรื่องเล็กน้อยเท่านั้น ได้เงินหนึ่งแสนตำลึงทองเขายินดีเป็นอย่างยิ่ง แน่นอนว่า...เขาไม่สามารถรับเงินแล้วไม่ทำธุระได้ เพราะเงินนั้นหอภูผามังกรให้มา รับเงินของหอภูผามังกรแล้วก็ต้องทำธุระให้สำเร็จ 

ส่วนม่อหยางเฉินไป๋น่ะหรือ

อัศวินประจำตระกูลที่อาศัยเกราะแปรธาตุนั้น ปรมาจารย์สวี่กวงชิงไม่ใส่ใจอยู่แล้ว ท่านปรมาจารย์ที่สามารถหลอมวัตถุล้ำค่ามากมายออกมาได้ไม่ขาดสายอย่างเขานั้น จึงจะเป็นหลักอันมั่นคงให้กับตระกูลได้

       “เห็นทีคงต้องทดลองอีก เอ้อ วัสดุดูจะไม่พอแล้ว เฮอะ พวกผู้อาวุโสของตระกูลนั่นชอบเอาวัสดุของข้าไปอยู่เรื่อย” ปรมาจารย์สวี่กวงชิงขมวดคิ้ว

อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ละครแนะนำ

ข่าวละครวันนี้ดูทั้งหมด