ตอนที่ 17
ตอนที่ 17 วันคืนที่เข้าไปในแนวเขา
ในเวิ้งเขาป่าทึบ รอบด้านเงียบสงัด แสงแดดยากที่จะสาดส่องเข้ามา ทั้งป่าเต็มไปด้วยความมืดทึบอับชื้น หลายที่ยังคงมีหิมะกองอยู่
มนุษย์งูผมเงินและหนุ่มน้อยชุดดำต่างถืออาวุธ ระมัดระวังหาใดเปรียบ
“ท่านอาจง พวกเราเข้ามาก็ใกล้ครึ่งชั่วยามแล้ว ไม่เห็นมีสัตว์มารสักตัวเลย” ตงป๋อเสวี่ยอิงกดเสียงต่ำ เขาหวาดหวั่นอยู่บ้าง แต่ขณะเดียวกันก็ตื่นเต้นอยากลอง อย่างไรเสีย หลังจากพลังเพิ่มพรวดแล้วยังไม่ได้ใช้อย่างสมบูรณ์สักครั้งเลย
“นี่เจ้า” จงหลิงสั่นศีรษะอย่างจนใจ หลานชายคนนี้ดูเหมือนเติบใหญ่แล้ว แต่ยังคงมีนิสัยแบบเด็ก ๆ อยู่บ้าง จึงเอ่ยเสียงต่ำว่า “พวกเราเพิ่งเข้าแนวเขามา ยังคงอยู่ในส่วนรอบนอกของรอบนอกที่สุด โดยธรรมชาติแล้วสัตว์มารนั้นหายากยิ่ง หากพวกเรายิ่งเดินลึกเข้าไป ยิ่งสามารถพบได้ง่ายขึ้น เมื่อถึงเวลานั้นก็ต้องดูพละกำลังของเจ้าแล้ว”
“อืม”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าเบา ๆ
“สวบ”
เสียงแผ่วเบา หูของตงป๋อเสวี่ยอิงขยับไปมา แล้วยกมือขึ้นห้ามจงหลิงที่อยู่ทางด้านข้างทันควัน จงหลิงพลันหัวใจบีบรัดแน่นทีหนึ่ง แม้เขาจะไม่ได้ยินเสียง แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงหลังจากที่สายเลือดโบราณกาลตื่นรู้แล้วก็มีประสาทการฟังและการมองเห็นที่เฉียบคมยิ่ง
“อยู่นั่นไง” ตงป๋อเสวี่ยอิงจ้องเขม็งไปยังด้านหน้าฝั่งซ้ายมือ
จงหลิงเองก็จ้องมองไปทางนั้น
กลางดงหนามที่ห่างออกไป เริ่มมีเสียงสวบสาบลอยมาให้ได้ยินอย่างชัดเจน อีกทั้งเงาร่างผอมดำสี่ขาก็เริ่มออกมาที่ละตัว ๆ รูปร่างของแต่ละตัวนั้นคล้ายกับหมาป่าอยู่บ้างเล็กน้อย แต่ร่างของพวกมันนั้นเล็กกว่าเป็นรอบทีเดียว ร่างผอมดำมีแผ่นเกล็ดสีดำแน่นขนัด ดวงตาสีแดงเข้มมีแววเย็นชา พวกมันเพียงแค่มองมนุษย์สองคนอย่างสงบ
“หมาไนเกล็ดดำหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงและจงหลิงรู้สึกหัวใจบีบรัด เพิ่งจะเข้าแนวเขาทำลายล้าง สัตว์มารที่ได้พบก็รับมือได้ไม่ง่ายเสียแล้ว
หมาไนเกล็ดดำเป็นสัตว์มารขั้นสาม
พวกมันสงบนิ่งมากแต่โหดร้ายทารุณ ชอบอยู่รวมกันเป็นกลุ่ม อีกทั้งกรงเล็บและฟันแหลมคมนั้นล้วนมีพิษร้าย
ขั้นสามคืออะไรหรือ ก็แสดงว่าพละกำลังนั้นเทียบได้กับอัศวินชั้นฟ้าอย่างไรเล่า พวกมันล้วนเกาะกันอยู่เป็นกลุ่มเผ่าพันธุ์เล็ก ๆ หมาไนเกล็ดดำกลุ่มใหญ่ตรงหน้าที่่เดินออกมาจากดงหนามกลุ่มนี้มีมากถึงสามสิบห้าตัว ต่อให้เป็นสััตว์มารขั้นสี่ตัวหนึ่ง ก็ต้องถูกฉีกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“ต้องรบกวนแล้ว” จงหลิงตระหนกอยู่บ้าง “เสวี่ยอิง ต้องระวังแล้วนะ”
“อื้ม ท่านอาจง ท่านรักษาตัวให้ดีเถอะ พวกมันให้ข้าจัดการเอง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ลมหายใจเนิบช้าเปี่ยมพลังขึ้น ตาจ้องไปยังหมาไนเกล็ดดำกลุ่มใหญ่ตรงหน้านี้
หมาไนเกล็ดดำจำนวนมากขนาดนี้เริ่มกระจายตัวอย่างเป็นธรรมชาติ กลายเป็นรูปพัดโอบล้อมตงป๋อเสวี่ยอิงเอาไว้ พวกเขาทั้งสองถูกดวงตาสีแดงเข้มของหมาไนเกล็ดดำจำนวนมากขนาดนี้จ้องมองพร้อมกัน…ใจของตงป๋อเสวี่ยอิงก็เริ่มตระหนกบ้างแล้ว ปณิธานของเขาแรงกล้า วิถีหอกยาวก็สูงส่ง แต่เขาก็เพิ่งเคยพบศัตรูที่ร้ายกาจเช่นนี้เป็นครั้งแรก
“บรู้วววว” เสียงต่ำขัดหูเปล่งออกมาจากปากของหมาไนเกล็ดดำตัวหลังสุด
สวบ ๆ ๆ
หมาไนเกล็ดดำทั้งหมดโจนทะยานจากสี่ด้านเข้ามาโอบล้อมพร้อมกันในพริบตา ถูกอัศวินชั้นฟ้าจำนวนมากโอบล้อมพร้อมกันเช่นนี้ อัศวินดาวตกก็ต้านทานไม่ไหวหรอก
“ตายซะ” หอกยาวในมือตงป๋อเสวี่ยอิงขยับแล้ว
ฟิ้ว
หอกยาวดุจแสงไฟ ว่องไวดุจสายฟ้า
ชั่วขณะที่หอกยาวแทงออกไปนั้น ก็มีเกล็ดหิมะนับไม่ถ้วนโปรยปลิวดุจกลีบดอกไม้ เกิดภาพงดงามหาใดเทียบ
หมาไนเกล็ดดำที่ถูกโจมตีรีบเคลื่อนกรงเล็บมาต้านรับหอกนั้นทันที จึ้ก...ในชั่วขณะที่หัวหอกยาวถูกต้านรับนั้น หอกยาวทั้งเล่มหมุนวนอย่างฉับพลัน สายพลังหมุนวนสายหนึ่งกระแทกเอากรงเล็บคม พลั่ก...จึ้ก...ปลายหอกยาวแทงเข้าไปในกรามล่างของหมาไนเกล็ดดำทันใด แล้วทะลุผ่านสมองด้านหลัง ร่างของหมาไนเกล็ดดำสัตว์มารขั้นสามตัวนี้กระตุกทีหนึ่งก็ไม่ขยับอีกต่อไป
ชั่วขณะที่แทงมันตายนั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ชักหอกกลับ แล้วแทงออกไปอีกครั้งเร็วดุจสายฟ้า
เก็บทีหนึ่ง แทงทีหนึ่งราวกับงูพิษแลบลิ้น
พลั่ก
หมาไนเกล็ดดำอีกตัวตายอนาถคาที่
หมาไนเกล็ดดำเหล่านี้ แต่ละตัวล้วนเป็นมือดีในการเข่นฆ่า แต่วิถีหอกยาวที่ตงป๋อเสวี่ยอิงคร่ำหวอดฝึกฝนอย่างบ้าคลั่งมาเป็นสิบปีนั้นก็ร้ายกาจเสียจริง
“บรู้ว บรู้ว บรู้ว...” เสียงคำรามต่ำมากมายดังขึ้น หมาไนเกล็ดดำเหล่านี้โอบล้อมเข้ามาเรื่อย ๆ โดยไม่ลดความเร็วลงแม้แต่น้อย
ในเวลาแสนสั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็หมาไนเกล็ดดำไปได้เพียงสามตัวเท่านั้น ก็กลับถูกหมาไนเกล็ดดำแปดตัวโจนเข้าหาพร้อมกัน
“ไสหัวออกไป”
หอกยาวดุจเงา โจมตีฟาดฟันอย่างรวดเร็ว
เช่นเดียวกับคืนวันอันยาวนานที่เคยฟาดฟันหุ่นแปรธาตุอย่างบ้าคลั่ง ตงป๋อเสวี่ยอิงโบกฟาดลงไปทีเดียวก็ฟาดสี่ตัวด้านข้างปลิวไป เมื่อกวาดแนวขวางกลับมาอีกครั้ง หมาไนเกล็ดดำอีกสี่ตัวก็ถูกกวาดหายไป หากพูดถึงกำลังเพียงอย่างเดียว ตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นฝ่ายได้เปรียบอย่างเห็นได้ชัด แต่มีคำกล่าวว่า สองกำปั้นยากจะสู้สี่ขา สิ่งที่น่าหวาดหวั่นของฝูงหมาไนเกล็ดดำก็คือ การเข้าล้อมจำนวนมากอย่างไม่กลัวตาย
“เสวี่ยอิง เร็วเข้า เร็วเข้า หากรับไม่ไหวก็ถอยเถอะ” จงหลิงอยู่สูงขึ้นไปบนต้นไม้ด้านข้าง หางรัดลำต้นเอาไว้ ความเร็วและความคล่องแคล่วคือสิ่งที่ทำให้แต่ก่อนเขาเข้ามาในแนวเขาทำลายล้างหลายครั้งก็ยังรักษาชีวิตเอาไว้ได้
“ข้ารู้”
สมาธิของตงป๋อเสวี่ยอิงจดจ่ออย่างมาก
วิถีหอกยาวของเขาแม้จะสูงส่ง แต่ภายใต้ความกดกันระหว่างความเป็นความตายนั้น ก็ยังคงได้รับผลกระทบ อีกทั้งเส้นเอ็น กระดูกและเกล็ดของหมาไนเกล็ดดำเหล่านี้แข็งทนทานยิ่งนัก แทงเข้าไปแล้วดึงออกมาต้องเปลืองเวลา ทำให้วิถีหอกยาวของตนช้าลงด้วยเหตุนี้
“ข้าต้องทำอะไรสักหน่อยแล้ว เอาแต่ให้พวกมันล้อมโจมตีอย่างเดียวไม่ได้” ตงป๋อเสวี่ยอิงค่อย ๆ นำสิ่งที่ปกติได้ฝึกฝนเรียนรู้จากในปราการเมืองออกมาใช้ ในปราการเมือง เขามักให้ทหารกลุ่มใหญ่ล้อมโจมตีพร้อมกัน ตงป๋อเสวี่ยอิงใช้แต่ละจังหวะของวิถีหอกยาวประลองต่อสู้ เร็วดังสายฟ้า แน่นอนว่าขณะเรียนรู้นั้น ล้วนเอาอาวุธออกไปหมด
ฟิ้ว ฟิ้ว…
ตงป๋อเสวี่ยอิงค่อย ๆ ทำได้ขึ้นมา เขาเคลื่อนตัวสบาย ๆ ทำให้หมาไนเกล็ดดำที่ต้องเผชิญหน้าลดน้อยลง ทำให้การล้อมโจมตีของหมาไนเกล็ดดำสูญเสียเป้าหมาย ทำให้ในแต่ละครั้งตนต้องเผชิญหน้ากับหมาไนเกล็ดดำอย่างมากที่สุดสามตัวเท่านั้น
“พลั่ก พลั่ก พลั่ก” เกล็ดหิมะปลิวว่อน เลือดพุ่งสาด หมาไนเกล็ดดำล้มลงทีละตัว ๆ
“ปึง ปึง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงคล่องแคล่วเป็นธรรมชาติขึ้นเรื่อย ๆ หอกยาวฟาดฟันรวดเร็วรุนแรง พละกำลังอันแข็งแกร่งส่งผ่านไปทั้งหอกยาว ฟาดลงไปที่หมาไนเกล็ดดำตัวหนึ่งอย่างแรง ร่างของหมาไนเกล็ดดำถูกฟาดเสียจนโค้งงอเป็นมุมประหลาด กระดูกหักเป็นไม่รู้กี่ท่อน ตัวบิดกระอักเลือดอยู่บนพื้นในที่สุด
จงหลิงที่อยู่สูงขึ้นไปบนต้นไม้ปรายตามองลงมายังสีหน้ายินดีีของคนเบื้องล่าง
“ปรับตัวได้เร็วมาก เร็วกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก ในการต่อสู้เอาเป็นเอาตาย พละกำลังของเขาก็แสดงออกมาได้” จงหลิงผงกศีรษะเล็กน้อย “อีกสักสองสามวัน คิดว่าคงจะปรับตัวได้อย่างสมบูรณ์”
“บรู๋ว” เสียงคำรามสั้นด้วยความหวาดผวาดังออกมาจากของฝูงหมาไนเกล็ดดำ หมาไนเกล็ดดำบางตัวที่ยังเหลืออยู่รีบแยกย้ายหนีหายไปทันที
ตงป๋อเสวี่ยอิงตามไปฆ่าต่ออีกสองตัวก็หยุดลง
ฟู่ ฟู่
ตงป๋อเสวี่ยอิงจึงผ่อนลอมหายใจออกมาได้เฮือกหนึ่ง ลมหายใจหนักหน่วงขึ้น เลือดในกายก็สูบฉีดขึ้นเร็วขึ้นมาก
“เป็นอย่างไรบ้าง” จงหลิงกระโดดลงมาจากที่สูง
“ต่างกันอย่างสิ้นเชิง” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าเบา ๆ “สามปีก่อน เมื่อข้ากับนักโทษในแดนใต้อาณัติเคยต่อสู้เอาเป็นเอาตายก็เคยมีความรู้สึกกดดันเช่นนี้ แต่นั่นแค่หนึ่งต่อหนึ่ง การต่อสู้เอาเป็นเอาตายแบบล้อมโจมตีนี่...ทำให้ข้ามีความคิดมากมายเกี่ยวกับการใช้วิถีหอกยาวเพิ่มขึ้นมา”
ขอบเขตวิถีหอกยาวสูงส่ง ก็แค่แสดงให้เห็นว่าศิลปะวิถีหอกยาวไปถึงขอบเขตที่สูงมากแล้ว
แต่เวลารบจริง กระบวนท่าจะใช้ร่วมกันอย่างไร จังหวะจะประสานกันแบบไหนนั้น ล้วนเป็นประสบการณ์การรบจริงทั้งสิ้น
“อีกทั้งเมื่อต่อสู้เอาเป็นเอาตาย เลือดทั้งกายเดือดพล่าน พละกำลังพรั่งพรู ทำให้การควบคุมพลังทั้งกายทำได้ละเอียดยิบขึ้น” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด
“นี่เป็นความสามารถของสิ่งมีชีวิตเมื่อความตายคุกคาม” จงหลิงพูด
“บางทีวิถีหอกยาวของข้าอาจบรรลุได้เร็วขึ้น” เลือดร้อนในก้นบึ้งจิตใจของตงป๋อเสวี่ยอิงถูกจุดขึ้น ฝึกหนักมาสิบปี จนมีทักษะที่น่าตกใจ...ในแนวเขาทำลายล้างนี้ ไม่ใช่ที่แสดงที่ดีที่สุดหรือ
“รีบไปเถอะ ที่นี่กลิ่นคาวเลือดรุนแรงเกินไป อีกไม่นานจะดึงดูดสัตว์มารมามากยิ่งขึ้น” จงหลิงเร่งเร้า
“อื้ม” ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้า
พวกเขาต่างก็ไม่สนใจซากของสัตว์มารขั้นสาม แม้สัตว์มารขั้นสามจะพอมีราคาอยู่บ้าง แต่พวกเขาทั้งสองจะมีแรงหามไปได้สักกี่ตัวกัน ราคาต่ำเกินไปไม่คุ้มค่าหรอก เรื่องของสะสมล้ำค่านั้น 至于储物法宝,ที่ว่างในของสะสมล้ำค่าของตงป๋อเสวี่ยอิงเกรงว่าอย่างดีก็คงใส่สัตว์เกล็ดดำได้เพียงตัวเดียวเท่านั้น ที่ว่างเล็กเกินไปแล้วจริง ๆ”
……
มาถึงแนวเขาทำลายล้าง ตงป๋อเสวี่ยอิงก็ราวกับมังกรเข้าสู่ท้องทะเล ประสบการณ์ในการรบจริงของเขาเพิ่มพูนอย่างต่อเนื่อง ทักษะวิถีหอกยาวก็ได้รับการฝึกฝน
ทุกวันพอตกกลางคืน พวกเขาทั้งสองต้องรีบกลับไปยังที่ตั้งค่ายที่อยู่ด้านนอก
พวกเขาคนหนึ่งเป็นเผ่ากษัตริย์แห่งเผ่ามนุษย์งู อีกคนเป็นสายเลือดโบราณกาลที่ตื่นรู้ ความเร็วในการเดินเท้าของพวกเขาไวมาก สามารถใช้ความเร็วสองร้อยลี้ต่อหนึ่งชั่วยามในการเดินขากลับในแนวเขาทำลายล้างได้สบาย ๆ ตอนพวกเขาสำรวจนั้นช้า แต่ตอนกลับใช้เส้นทางเดิมกลับจึงทำได้ไวมาก
ค้างคืนก็ต้องค้างคืนในที่ตั้งค่าย อย่างไรเสีย พวกเขาก็ต้องการพักผ่อนอย่างเต็มที่ หากค้างคืนในแนวเขาก็คงจะเหนื่อยเกินไปแล้ว
……
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า
ความก้าวหน้าของตงป๋อเสวี่ยอิงทำให้จงหลิงลิ้นจุกปาก เขาเห็นได้ว่าตงป๋อเสวี่ยอิงฝึกได้ชำนาญมากขึ้นเรื่อย ๆ ทุกครั้งที่สู้รบ ตงป๋อเสวี่ยอิงล้วนพิเคราะห์แล้วเก็บไว้เป็นบทเรียน ทำให้ครั้งต่อไปทำได้สมบูรณ์แบบยิ่งขึ้น
“ตั้งแต่เล็กก็รู้จักพิเคราะห์หาข้อสรุป ขนาดสู้รบ ก็ยังสรุปทุกครั้ง มิน่าล่ะ วิถีหอกยาวจึงเยี่ยมยอดถึงเพียงนี้” จงหลิงแอบพึมพำ เขารู้สึกมาเสมอว่า ตงป๋อเสวี่ยอิงนั้นมีปัญญาสูงยิ่ง
เขาถามตนเองก็รู้สึกว่าฉลาดมาก
ทั้งยังรู้จักเรียนรู้บทเรียนจากอดีตมาใช้ อันที่จริงหลักการนี้คนจำนวนมากก็เข้าใจ แต่แนวคิดของตงป๋อเสวี่ยอิงเป็นเอกลักษณ์มากกว่า ประสิทธิภาพก็สูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด ก็อย่างเช่นตอนเป็นเด็ก เด็กธรรมดาอ่านเรื่องตำนานเหล่านั้น ก็ล้วนจำได้เพียงเรื่องราวอันโดดเด่นของอัศวินเหนือธรรมดาหลายคน แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงกลับรับรู้ได้ถึงกฎเกณฑ์การเติบโตของอัศวินเหนือธรรมดาเหล่านี้…
อย่างเช่นเกือบเก้าส่วนไม่เคยเข้าสำนักวิชา
อย่างเช่นข้อความหลายท่อนชี้ให้เห็นว่า พวกเขาหลายคนที่ให้ความสำคัญกับพื้นฐาน ทำให้การฝึกฝนพื้นฐานวิถีหอกยาวของตงป๋อเสวี่ยอิงถึงขั้นวิปริตไปแล้ว