ตอนที่ 13
ตอนที่ 13 เข้าเมือง
“ไปเมืองอี๋สุ่ยหรือ” จงหลิงและถงซานยังอยู่ในความตื่นเต้น เมื่อได้ยินคำพูดนี้ของตงป๋อเสวี่ยอิงก็อดไม่ได้ที่จะตกใจ เพราะที่ผ่านมาตงป๋อเสวี่ยอิงฝึกฝนอย่างเคร่งครัด ยากนักที่ในปีหนึ่งจะไปเมืองอี๋สุ่ยสักครั้ง
“เสวี่ยอิง เจ้าเตรียมจะไปซื้ออาวุธหรือ” จงหลิงเอ่ยขึ้นมากะทันหัน
ตงป๋อเสวี่ยอิงชะงักไปนิดหนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มพูดว่า “ท่านอาจง หากท่านไม่พูดข้าก็จะลืมแล้ว ข้าควรจะไปซื้อหอกยาวสักเล่มจริง ๆ ครั้งนี้ข้าวางแผนจะไปเมืองอี๋สุ่ยก็เพราะว่าใกล้จะปีใหม่แล้ว พอพ้นปีใหม่ ชิงสือก็จะสิบขวบแล้ว จะเที่ยวเล่นอยู่ร่ำไปเช่นนี้ไม่ได้ ข้าก็เคยสัญญากับเขาก่อนหน้านี้ เมื่อเขาอายุสิบปี จะหาอาจารย์ปรมาจารย์เวทย์ดี ๆ ให้เขาสักคน ให้เขาเริ่มต้นเรียนอย่างจริงจังเสียที”
“อืม อาจารย์ของปรมาจารย์เวทย์สำคัญมากจริง ๆ” จงหลิงและถงซานล้วนมีท่าทีเคร่งขรึมยิ่ง
ปรมาจารย์เวทย์ คือผู้ทรงความรู้ คือผู้ทรงปัญญา
แต่หากไร้คำชี้แนะจากอาจารย์ที่ดีแล้ว จะไปหยั่งรู้ด้วยตนเอง ยากนักที่จะสำเร็จเป็นปรมาจารย์เวทย์ผู้ทรงความรู้ ผู้ทรงปัญญา ยิ่งกว่านั้นการจะเข้าลำดับชั้นของปรมาจารย์เวทย์ต้องเกี่ยวพันถึงจิตวิญญาณ ฝึกฝนเองคนเดียวมั่ว ๆ จนไปทำลายจิตวิญญาณ เช่นนั้นจะมาเสียใจภายหลังก็สายไปเสียแล้ว
“ทั้งเมืองอี๋สุ่ยมีปรมาจารย์เวทย์ชั้นดาราจักรเพียงท่านเดียวคือไป๋หยวนจือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูด “ปรมาจารย์เวทย์ไป๋หยวนจืออาศัยอยู่ในเมืองพอดี ข้าเตรียมจะไปเยี่ยมคารวะเขาเสียหน่อย หวังว่าเขาจะยอมรับน้องชายข้าเป็นศิษย์ถ่ายทอดเอง”
“ศิษย์ถ่ายทอดเองหรือ” จงหลิงพูดอย่างกังวลใจ “เกรงว่านี่คงจะยากเสียหน่อยแล้ว”
การชี้แนะของปรมาจารย์เวทย์คือคำชี้แนะอย่างรอบด้าน ทั้งความรู้ แนวคิดและอื่น ๆ ปรมาจารย์เวทย์และศิษย์ถ่ายทอดเองมีความสัมพันธ์ใกล้ชิด ดุจดั่งบิดามารดาและบุตร ดังนั้นยิ่งเป็นปรมาจารย์เวทย์ที่เก่งกาจเท่าไหร่…ยอมรับศิษย์ในนาม สอนเพียงผ่าน ๆ จะสำเร็จมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับตนเอง ส่วนการชี้แนะอย่างเอาใจใส่แบบ “ศิษย์ถ่ายทอดเอง” นั้น ทั้งชีวิตของปรมาจารย์เวทย์ท่านหนึ่งก็รับได้แค่ไม่กี่คน เพราะเหล่าปรมาจารย์เวทย์ก็ต้องใช้เวลาไปกับการฝึกฝนเช่นกัน หากรับศิษย์ถ่ายทอดเองมากไป ก็จะถ่วงการฝึกฝนให้ช้าลงไปได้
“ไม่ลองแล้วจะรู้ได้อย่างไรกัน” ตงป๋อเสวี่ยอิงพูดยิ้มๆ
……
สองวันต่อมา
อย่างไรเสียเขาก็เป็นยอดฝีมือที่ใกล้จะเป็น “ปรมาจารย์หอกยาว” คนหนึ่ง ถึงแม้พลังจะเพิ่มพรวด แต่หลังจากปรับตัวมาสองวัน ตงป๋อเสวี่ยอิงก็คุ้นเคยเป็นอย่างดีแล้ว เขาจึงพาน้องชาย จงหลิงและกองทหารม้าติดตามร้อยหนึ่ง ออกเดินทางตรงไปยังเมืองอี๋สุ่ย
“นานแล้วที่ไม่ได้เข้าเมืองกับท่านพี่” ชิงสือตื่นเต้นดีใจนัก
ตงป๋อเสวี่ยอิงขี่ม้าแคระน้ำค้างเหิน ชิงสือนั่งอยู่ในอ้อมแขนของตงป๋อเสวี่ยอิง ตื่นเต้นดีใจหาใดเทียบ
ในฐานะที่เป็นสััตว์มารขั้นสอง ม้าแคระน้ำค้างเหินวิ่งทะยานได้อย่างราบเรียบยิ่งนัก อีกทั้งความเร็วในตอนนี้นับได้ว่าเป็นความเร็วที่หิมะเหินเดินเล่นเท่านั้น ถึงอย่างไรก็ต้องให้กองทหารม้าข้างหลังตามได้ทัน หากให้ม้าแคระน้ำค้างเหินเปิดกีบวิ่งอย่างบ้าคลั่งแล้วล่ะก็…เกรงว่าชั่วพริบตาเดียวก็คงวิ่งหายไปจนไร้เงาแล้ว
เพียงครึ่งชั่วยาม บ่อน้ำประจำเมืองสูงตระหง่านก็ปรากฏแก่สายตา
ปราการเมืองห่างจากเมืองอี๋สุ่ยเพียงร้อยกว่าลี้เท่านั้น
ตอนแรกที่ท่านพ่อท่านแม่เลือกแดนใต้อาณัตินั้น...ได้เลือกแดนใต้อาณัติที่ใกล้ตัวเมือง ชายแดนของแดนใต้อาณัติอินทรีหิมะนั้นจรดชานเมืองแล้ว
“เป็นทหารม้าของแดนอินทรีหิมะ” กองทหารรักษาเมืองที่เกียจคร้านของเมืองอี๋สุ่ยมองเห็นกองทหารม้าที่โจนทะยานเข้ามาด้วยเสียงครึกโครมจากที่ไกล ๆ แล้วก็ต้องกลั้นหายใจทันที จากสัญลักษณ์ “อินทรีหิมะสยายปีก” เหนือเกราะบนกายของทหารม้า พวกเขาก็จำสถานะของผู้มาเยือนได้ อีกทั้งทหารม้าทุกคนยังสะพายธนูทลายดาวอันใหญ่ นี่ก็เป็นสิ่งที่ดินแดนอินทรีหิมะเท่านั้นที่มี
“ข้างหน้าสุดคือเจ้าแดนวัยเยาว์แห่งดินแดนอินทรีหิมะ ในอ้อมกอดของเขาคือน้องชายของเขา คุณชายน้อยชิงสือ”
“คิดไม่ถึงว่าในที่สุดท่านเจ้าแดนวัยเยาว์ผู้นี้ก็เข้าเมืองแล้ว”
“ยากนักที่เขาจะมา”
“น้องชายเขามาบ่อยนะ เดือนที่ผ่านมานี้ข้าเห็นคุณชายน้อยชิงสือหลายครั้งแล้ว”
ทหารรักษาการณ์เมืองเหล่านี้ยืนอยู่สองข้างพลางพูดคุยกัน เปิดทางให้กองทหารม้าเข้าสู่เมือง
จนบัดนี้ อาณาจักรก่อตั้งมาเก้าพันกว่าปี พวกกองทหารรักษาการณ์เมืองซึ่งเป็นระดับชั้นต่ำสุดเช่นนี้ฟอนเฟะมานานแล้ว อย่างดีก็แค่ข่มขู่พวกโจรกระจอกได้บ้าง พวกชนชั้นสูงศักดิ์หรือโจรที่มีฝีมือนั้น พวกเขาล้วนไม่กล้าไปหาเรื่อง
……
“เป็นท่านเจ้าแดนวัยเยาว์แห่งดินแดนอินทรีหิมะ”
“หลีกไปให้หมด”
“หลีกทางหน่อย”
พวกคนในเมืองล้วนมองดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่ละคนล้วนหลีกทางแต่ไกล หนึ่งในสิบตระกูลใหญ่แห่งเมืองอี๋สุ่ย อีกทั้งเจ้าแดนคนปัจจุบันออกเดินทางมาเอง นับว่าเป็นเรื่องใหญ่พอดูแล้ว
“ร้านขายของชำซวี่หมิง” ร้านที่กินพื้นที่ใหญ่โตโดดเด่นสะดุดตามาก
“นี่แหละ”
“หยุดๆๆ...” ตงป๋อเสวี่ยอิงบังคับม้าให้หยุดแล้วออกคำสั่งทันที “รอข้าอยู่ด้านนอกให้หมด”
“ขอรับ ใต้เท้าเจ้าแดน” เหล่าทหารคำนับรับคำสั่ง
“ท่านอาจง พวกเราเข้าไปกันเถอะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงส่งม้าให้ผู้ใต้บังคับบัญชานายหนึ่งพลางจูงมือน้องชาย แล้วเข้าไปในร้านขายของชำซวี่หมิงพร้อมกับจงหลิง
บอกว่าเป็นร้านขายของชำ แต่หน้าร้านยาวกว่าร้อยเมตร เด็กในร้านก็มีหลายสิบคน ลูกค้าก็มากมาย
นี่เป็นสถานที่ขายอาวุธที่ใหญ่และดีที่สุดในเมืองอี๋สุ่ยแล้ว
“เมืองอี๋สุ่ยเป็นเพียงเมืองระดับตำบลเท่านั้น อาวุธแปรธาตุที่ดีเกินไปนั้น มีไม่กี่คนที่จะซื้อไหว” จงหลิงยิ้มพูด “อาวุธแปรธาตุขั้นสองชุดหนึ่งตั้งหลายหมื่นตำลึงทอง ราคาพอกันกับดินแดนอินทรีหิมะทั้งแดนเลยทีเดียว จะมีชนชั้นสูงในเมืองอี๋สุ่ยสักกี่คนกันที่จะมีปัญญาซื้อ ต่อให้จะซื้อ เกรงว่าต้องไปซื้อที่เมืองระดับเขตหรือแม้กระทั่งเมืองระดับแคว้น ดังนั้นอาวุธส่วนใหญ่ที่นี่จึงไม่จัดลำดับชั้น อาวุธแปรธาตุขั้นหนึ่งโดยปกติแล้วก็นับว่ายอดที่สุดแล้ว บางทีอาจมีอาวุธแปรธาตุขั้นสองไว้เป็นของล้ำค่าของร้านบ้างกระมัง”
ตงป๋อเสวี่ยอิงพยักหน้าน้อย ๆ หอกยาวที่เขาใช้จนพังไปอันก่อนก็ไม่จัดลำดับชั้น
“ท่านนี้คงเป็นตงป๋อเสวี่ยอิงแห่งดินแดนอินทรีหิมะในตำนานกระมัง ฮ่า ๆ ได้ยินชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่ของน้องชายท่านนี้มานานแล้ว กลับเพิ่งได้เห็นเป็นครั้งแรก” ชายวัยกลางคนในอาภรณ์สีม่วงเดินยิ้มเขามา
“เสวี่ยอิง นี่ก็คือนายท่านเจ้าของร้าน ท่านชายฉวนซวี่หมิง” จงหลิงแนะนำ
“ท่านชายฉวนซวี่หมิง” ตงป๋อเสวี่ยอิงยิ้มพูด
บุคคลที่เก่งกาจในเมืองอี๋สุ่ยสามารถยกนิ้วนับได้ ฉวนซวี่หมิงก็คือหนึ่งในนั้นเอง คนผู้นี้เคยเป็นพ่อค้าใหญ่มาก่อน การค้าที่ทำข้างนอกนั้นใหญ่โตมาก ภายหลังไม่อยากวิ่งวุ่นแล้ว จึงกลับมายังบ้านเกิดซื้อแดนใต้อาณัติ เปิดร้านขายของชำขึ้นในเมืองร้านหนึ่ง บอกว่าเป็นร้านขายของชำ... แต่ของพิสดารล้ำค่าอาวุธต่าง ๆ กลับดีที่สุดในเมืองอี๋สุ่ยแล้ว
จากจำนวนของล้ำค่าที่มีอยู่มากมายแล้ว ก็สามารถเห็นถึงพลังที่มีอยู่เต็มเปี่ยมได้บ้าง
“ข้าต้องขอเบ่ง เรียกเจ้าว่าน้องเสวี่ยอิงเสียแล้ว” ชายวัยกลางคนในอาภรณ์สีม่วงยิ้มพูด
“น้องชายมาหาข้าที่นี่ ไม่ทราบว่าจะซื้ออะไรหรือ”
“หอกยาวเล่มหนึ่ง” ตงป๋อเสวี่ยอิงเอ่ย
“ท่านชายฉวน นำหอกยาวที่ดีที่สุดในร้านของท่านออกมาเถิด” จงหลิงพูดบ้าง
“ใช่แล้ว ที่ดีที่สุด หยิบที่ดีที่สุดออกมา” ชิงสือที่อยู่ด้านข้างตื่นเต้นยินดีหาใดเปรียบ
“ฮ่า ๆ ...มีชีวิตชีวาดี แต่ร้านของข้านี้อย่างไรเสียก็เป็นเพียงร้านเล็ก ๆ หอกยาวที่พอจะนับว่าดีได้นั้นมีเพียงสามเล่ม” หลังชายวัยกลางคนในอาภรณ์สีม่วงฟังแล้วก็สะกิดใจเล็กน้อย หากกำลังอ่อนสักหน่อย ก็ไม่จำเป็นต้องใช้อาวุธแปรธาตุที่จัดลำดับชั้น ดูท่าเจ้าแดนวัยเยาว์ผู้นี้จะมีพละกำลังแข็งแกร่งยิ่ง หรือว่าจะข้ามเข้าสู่อัศวินชั้นฟ้าแล้ว เขาหันหน้ากลับไปกำชับทันทีว่า “ไปนำหอกยาวสามเล่มที่ดีที่สุดออกมาให้น้องเสวี่ยอิงเลือกที น้องเสวี่ยอิง พวกเราไปนั่งข้างในก่อนเถอะ นั่งลงค่อย ๆ คุยกัน”
ในร้านนี้มีลูกค้าไม่น้อยที่สังเกตเห็นตงป๋อเสวี่ยอิงแล้ว พวกเขาล้วนกำลังแอบวิพากษ์วิจารณ์
ถึงแม้ตงป๋อเสวี่ยอิงจะเข้าเมืองน้อยมาก แต่อย่างไรเสีย ชื่อของเขาก็ถูกชาวเมืองอี๋สุ่ยพูด
ถึงหลายครั้งแล้ว เมื่ออายุได้แปดปีก็เป็นเจ้าแดนแห่งแดนใต้อาณัติ ได้ยินมาว่าทุกวันล้วนฝึกหอกยาว เข้าสู่ทางมารแล้ว ได้ยินมาว่าบิดามารดาถูกจับไป และก็มีที่พูดว่าถูกฆ่าตายไปนานแล้ว...ข่าวลือต่าง ๆ นานา ทั้งยังมีข่าวลือบางส่วนที่ไม่จริงเอาเสียเลย
ในห้องรับรอง
ขนมน้ำชาถูกส่งมาวาง พูดสัพเพเหระสองสามประโยค
สาวใช้หกนาง สองนางยกกล่องอาวุธหนึ่งกล่อง กล่องอาวุธเรียบง่ายแบบโบราณถูกยกเข้ามาสามกล่อง
“เปิดออกให้หมด ให้น้องเสวี่ยอิงดูหน่อย” ชายวัยกลางคนในอาภรณ์สีม่วงพูดกำชับ
ปึง! ปึง! ปึง! กล่องอาวุธสามกล่องล้วนถูกเปิดออก
ตงป๋อเสวี่ยอิงตาเป็นประกายทันที เขามองดูอย่างละเอียด