icon member

อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ตอนที่ 10

ตอนที่ 10 หมาป่าเขมือบ พยัคฆ์กลืนกิน

สาวใช้ร่างเล็กนางหนึ่งกำลังหอบเสื้อผ้าเต็มถาดไม้ใหญ่เร่งเดินฝ่าหิมะหนัก ทันใดนั้นนางก็มองไปยังที่ไกล ๆ ข้างหน้าด้วยความสงสัย ณ ที่ไกล ๆ นั้นมีคนผู้หนึ่งคุกเข่าตัวงอด้วยความอ่อนแรงอยู่ อีกทั้งรอบกายนั้นดูคล้ายจะไม่มีหิมะกองอยู่เลย

“อะไรกันนี่” สาวใช้ตัวน้อยเดินตรงไปยังที่นั้นด้วยความสงสัย

“เจ้านายนี่” เมื่อเดินเข้าไปใกล้นางก็ดูออก ผู้ที่คุกเข่าตัวงออยู่ตรงนั้นก็คือใต้เท้าเจ้าแดนแห่งทั้งดินแดนอินทรีหิมะ แผ่นหลังเปลือยเปล่าของใต้เท้าเจ้าแดนแดงระเรื่อ แผ่ไอร้อนระอุออกมา รอบกายยังมีควันพวยพุ่ง ในรัศมีสิบเมตรรอบกายไม่มีหิมะกองอยู่แม้แต่น้อย ทั้งหมดล้วนถูกหลอมละลายจนไม่เหลือซาก หากอัศวินหรือปรมาจารย์เวทย์ผู้ยิ่งใหญ่เห็นฉากนี้เข้าแล้วก็คงตกตะลึง

แต่สาวใช้ผู้นี้ก็เป็นเพียงคนธรรมดา จะไปเข้าใจว่าความร้อนที่แผ่ออกจากร่างกายจนทำให้หิมะรอบกายในระยะสิบเมตรละลายนั้นมีความหมายว่าอะไรได้อย่างไร

“เหตุใดหิมะรอบกายจึงละลายหมดแล้วเล่า หรือว่านี่เป็นพลังการต่อสู้อะไรหรือเปล่า” สาวใช้ตัวน้อยแอบรำพึงในใจ ขณะเดียวกันก็อดไม่ได้ หลุดปากตะโกนออกมาว่า “เจ้านาย เจ้านาย ท่านไม่เป็นอะไรใช่ไหมเจ้าคะ”

นางตื่นตระหนกอยู่บ้าง

เพราะที่ผ่านมาเมื่อตงป๋อเสวี่ยอิงฝึกวิถีหอกยาว ก็ฝึกจนเหงื่อท่วมกาย ไอร้อนพวยพุ่ง ถึงกระทั่งทรุดลงกับพื้นอย่างไร้เรี่ยวแรง ดังนั้นสาวใช้ตัวน้อยจึงคิดว่าครั้งนี้เจ้านายตนก็คงฝึกวิถีหอกยาวจนถอนตัวไม่ขึ้นอีกแล้ว

“ไม่เป็นไร” ตงป๋อเสวี่ยอิงเปล่งเสียงแหบแห้งออกมา แล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นอย่างช้า ๆ

“ข้าสบายดี”

ตงป๋อเสวี่ยอิงหันไปมองสาวใช้ตัวน้อยแวบหนึ่ง “สบายดีมาก”

สาวใช้อ้ำอึ้งไม่กล้าเปล่งเสียง

“ถ่ายทอดคำสั่งข้า ไปห้องครัวเตรียมการย่างสัตว์มารทั้งตัวให้สุกแล้วส่งมาให้ข้าที่นี่” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำชับ

“ทั้งตัวเหรอเจ้าคะ” สาวใช้ตัวน้อยเบิกตาโพลง

ต้องรู้ว่า ธรรมดาแล้วสัตว์พวกม้าหนักประมาณเจ็ดแปดร้อยชั่งจนถึงพันชั่ง อย่างเช่นม้าแคระน้ำค้างเหินนั้นหนักถึงสองพันชั่งด้วยซ้ำ หากเป็นสัตว์มารบางพวกยิ่งแข็งแรงใหญ่โตกว่า โดยทั่วไปแล้วหนักหลายพันชั่ง มีแม้กระทั่งหมื่นกว่าชั่ง ภายในปราการเมือง คนเช่นตงป๋อเสวี่ยอิงกินเนื้อสัตว์มารเป็นอาหารหลักทุกวัน เนื้อสัตว์มารให้พลังงานสูง คนเช่นอัศวินทั้งหลายก็กินเนื้อสัตว์มารเป็นอาหารหลักเช่นกัน

ดังนั้นห้องเย็นของครัวภายในปราการเมืองก็จะมีสัตว์มารเก็บไว้ตัวสองตัว แต่นั่นมีไว้สำหรับเลี้ยงคนทั้งปราการเมือง โดยปกติคือไว้เลี้ยงในโอกาสพิเศษ

“ใช่ ทั้งตัว ข้าจำได้ว่าตอนไปดูครั้งที่แล้วมีสัตว์มารชั้นสามตัวหนึ่งกับสัตว์มารชั้นสองตัวหนึ่ง เอาสัตว์มารชั้นสามไปย่างให้สุกแล้วส่งมาเสีย” ตงป๋อเสวี่ยอิงกำชับ

“เจ้าค่ะ” สาวใช้ตัวน้อยไปถ่ายทอดคำสั่งอย่างเชื่อฟัง

ตงป๋อเสวี่ยอิงมองสาวใช้ตัวน้อยอุ้มถาดไม้ใบใหญ่วิ่งถลาออกไปอย่างรวดเร็ว เขายิ้มน้อยยิ้มใหญ่แล้วเดินไปหยิบเสื้อผ้าที่อีกด้านขึ้นมาสวม เขายังคงดูเหมือนหนุ่มน้อยที่องอาจคนเก่า...แต่นอกจากตัวเขาเองแล้ว ไม่มีใครรู้ว่า ในยามนี้ร่างกายของหนุ่มน้อยผู้นี้เปลี่ยนไปจนน่ากลัวถึงเพียงใดแล้ว

“ไหนดูซิว่ากระโดดได้สูงเพียงไหนแล้ว” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองไปยังหอหลักของปราการเมืองตรงหน้า ซึ่งเป็นที่ที่ตนอาศัยอยู่ ปราการเมืองใหญ่โตโอฬารนัก ลูกกรงระเบียงชั้นสองอยูู่ห่างจากพื้นกว่าเจ็ดแปดเมตร ที่ผ่านมานั้นตนทะยานขึ้นไปคราหนึ่ง ก็ทำได้เพียงเอื้อมคว้าลูกกรงระเบียงชั้นสองเอาไว้แล้วพลิกตัวข้ามไปเท่านั้น 

ผลัวะ

เพียงสองขาออกแรง หวือ ดุจดังเงาภูติบินพุ่งสู่ฟ้าในฉับพลัน  พุ่งตรงผ่านความสูงของทั้งปราการเมืองไปยังจุดสูงสุดจึงร่อนลง ทำเอาตัวตงป๋อเสวี่ยอิงเองสะดุ้งเฮือกใหญ่ ในยามนี้ ด้วยเพราะหิมะหนักปลิวว่อน ทำให้ไม่มีผู้ใดทันสังเกตฉากที่เกิดขึ้นแวบเดียวนี้

“นึกไม่ถึงเลยว่าจะกระโดดได้สูงขนาดนี้ หอหลักของปราการเมืองสูงกว่ายี่สิบเมตร ข้าจำได้ว่ากำแพงเมืองอี๋สุ่ยแม่จะสูงใหญ่ แต่ก็สูงเพียงแค่สิบแปดเมตรกระมัง ตอนนี้ข้าแค่กระโดดสบาย ๆ ทีหนึ่งก็ข้ามกำแพงเมืองอี๋สุ่ยได้แล้วอย่างนั้นหรือ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตกตะลึงอยู่บ้าง จากความสูงที่ตนทะยานขึ้นมานั้น ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เริ่มตระหนักรู้ถึงระดับความสามารถที่แท้จริงของตนเองแล้ว 

ตงป๋อเสวี่ยอิงลงมาจากยอดหลังคาอย่างรวดเร็วแล้วไปรอในห้องอาหาร รอกินเนื้อย่าง

เพราะว่า…

เขาหิวมากจริง ๆ แต่เล็กจนโตเขาไม่เคยหิวถึงเพียงนี้มาก่อน ตงป๋อเสวี่ยอิงแม้จะตื่นเต้นยินดีกับความสามารถที่เพิ่มขึ้นของตนเอง แต่ที่ตอนแรกเขาออกคำสั่งให้ทำเนื้อย่างด้วยความหิวโหยนั้นก็ทำให้เขาแทบบ้า

“โครก...คราก...” ตงป๋อเสวี่ยอิงหยิบพวกขนมที่วางอยู่ในถาดบนโต๊ะขึ้นมา เพียงสองสามคำก็เขมือบลงท้องไปจนหมด บัดนี้ส่วนท้องที่ผ่านการวิวัฒนาการแล้วได้ย่อยสิ่งเหล่านั้นและดูดซึมไปหมดแล้ว แต่พลังงานเพียงเท่านี้ช่างน้อยเสียจนน่าสงสาร

“เจ้านายขอรับ เจ้านายขอรับ” คนรับใช้ชายหนวดเฟิ้มผู้หนึ่งพรวดพราดเข้ามาในห้องอาหาร น้ำเสียงกระด้างถามว่า “เจ้านายต้องการรับเนื้อสัตว์มารทั้งตัว ทั้งยังเป็นชั้นสามตัวนั้นด้วยหรือขอรับ”

“ใช่สิ” ตงป๋อเสวี่ยอิงมองเขาแวบหนึ่ง “ทำให้เร็วที่สุดเลย ย่างสุกแล้วก็รีบเอามาให้ข้า”

“เข้าใจแล้วขอรับ เข้าใจแล้วขอรับ” คนรับใช้ชายหนวดเฟิ้มสะดุ้งตกใจ รีบไปทำทันที

ธรรมดาแล้วหากท่านเจ้าแดนให้ใครมาถ่ายทอดคำสั่ง พ่อครัวใหญ่อย่างเขาไม่กล้าปากมากถามอะไรสักคำ แต่คำสั่งครั้งนี้ช่างเหลือเชื่อ เนื้อสัตว์มารชั้นสามทั้งตัว นั่นเป็นเนื้อสัตว์มารถึงหนึ่งหมื่นสองพันชั่งเต็ม ๆ เชียวนะ ราคาไม่ใช่น้อย ๆ เลย อีกทั้งผู้ที่มาถ่ายทอดคำสั่งก็ไม่ใช่คนรับใช้ข้างกายของใต้เท้าเจ้าแดน เป็นเพียงสาวใช้ซักผ้าคนหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นพ่อครัวใหญ่ผู้นี้จึงต้องยอมปากมากถามดูสักครั้ง

มิเช่นนั้นแล้ว หากสาวใช้พูดเท็จ สาวใช้ผู้นั้นย่อมโชคร้ายแน่นอนอยู่แล้ว แต่ราคาของสัตว์มารชั้นสามตัวหนึ่งนั้น เกรงว่าพ่อครัวใหญ่คนนี้จะต้องถูกปรับหนัก

“ใต้เท้าเจ้าแดนต้องการสัตว์มารย่างทั้งตัว นี่ก็สิ้นเปลืองเกินไปแล้ว” พ่อครัวใหญ่แอบคิดแต่ก็ไม่กล้าถามให้มากความ คำสั่งของใต้เท้าเจ้าแดน เขาจะตั้งข้อสงสัยได้ที่ไหนกัน สิ่งที่เขาต้องทำก็มีเพียงแค่...น้อมรับบัญชาเท่านั้น

   ……

ตงป๋อเสวี่ยอิงรอคอย รอคอยพลางสะกดข่มความหิวจนทำให้ทั้งกายสั่นเทิ้ม

ในที่สุด เขาก็ได้กลิ่นหอมของเนื้อย่าง

หวือ

ตงป๋อเสวี่ยอิงพุ่งผ่านห้องอาหารไปในทันใด ยืนตรงระเบียงมองไปยังด้านล่าง รถม้าคันหนึ่งกำลังแล่นตรงมาอย่างช้า ๆ คนรับใช้ชายกลุ่มหนึ่งตามมาด้านข้าง ในตัวรถม้าก็คือสัตว์มารที่ย่างสุกดีแล้วแบ่งเป็นสองส่วน เนื้อสัตว์มารหนึ่งหมื่นสองพันชั่งคือน้ำหนักสุทธิหลังจากเอาเครื่องในและเลือดออกหมดแล้ว คนรับใช้ธรรมดาเหล่านี้ทำให้ขยับไม่ได้ เพื่อที่จะย่างเนื้อในครั้งนี้ คนรับใช้กลุ่มนี้ต้องเปลืองแรงไปมากมาย นำเนื้อมาส่งก็ยุ่งยากยิ่งนัก

“เดี๋ยวต้องนำไปส่งที่ห้องอาหารของเจ้านาย ทุกคนต้องออกแรงกันหน่อยล่ะนะ ร่วมแรงร่วมใจกัน ยกขึ้นไปด้วยกัน” คนรับใช้ชายเหล่านี้กำลังปรึกษากัน นำอาหารหนักกว่าหมื่นชั่งขึ้นไปส่งยังชั้นสองไม่ใช่เรื่องง่าย

ปึง

ทันใดนั้นพื้นดินก็สะเทือน เห็นเพียงหนุ่มน้อยชุดดำยืนอยู่หน้ารถม้า

“เจ้านาย” คนรับใช้ชายร่างกำยำเหล่านี้ตะลึงไปขณะหนึ่งก่อน จากนั้นจึงค่อย ๆ เรียกขานด้วยความเคารพทีละคน ๆ

“พอแล้ว เนื้อสัตว์มารนี่มอบให้ข้าเถอะ พวกเจ้ามีอะไรก็ไปทำเสีย” พูดแล้วตงป๋อเสวี่ยอิงก็ไปหอบเอาจานอาหารใบใหญ่ในรถม้าขึ้นมา บนจานอาหารก็คือเนื้อสัตว์มารที่ย่างสุกแล้วแบ่งเป็นสองส่วน

เมื่อหอบเอาจานอาหารที่ใหญ่กว่าตนเองแล้ว ตงป๋อเสวี่ยอิงก็เดินไปยังห้องอาหารอย่างรวดเร็ว

กลุ่มคนรับใช้ชายด้านข้างแต่ละคนล้วนงุนงง

สวรรค์

อุ้ม อุ้มแล้วก็จากไปอย่างนี้หรือ

เนื้อสัตว์มารหนึ่งหมื่นสองพันชั่งเชียวนะ ถึงแม้ตอนย่างน้ำมันในเนื้อจะไหลออกไปบ้าง แต่อย่างไรก็ต้องหนักเกินหมื่นชั่งเป็นแน่ คนรับใช้ชายร่างกำยำกลุ่มใหญ่อย่างพวกเขาร่วมแรงร่วมใจกันก็ยังต้องทั้งลากทั้งดึงจึงจะขึ้นไปชั้นสองได้อย่างยากเย็น อุ้มไปง่าย ๆ เช่นนี้น่ะหรือ นี่ต้องมีกำลังเข้มแข็งถึงเพียงใดกัน

“อย่าไปพูดมากข้างนอกล่ะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงตวัดมองไปด้านล่าง กำชับคำหนึ่ง

“ขอรับ” คนรับใช้ชายทุกคนรับคำสั่ง

แต่ตงป๋อเสวี่ยอิงเองก็เข้าใจดีว่า ที่ตนสั่งให้ทำเนื้อสัตว์มารทั้งตัวในครั้งเดียวนั้นยังคงต้องเล็ดรอดออกไปแน่นอน เล็ดรอดออกไปก็ไม่เป็นอะไรหรอก อย่างไรเสียเศรษฐีและคนชั้นสูงบางพวกทำเรื่อง “ฟุ่มเฟือย” ก็เป็นเรื่องปกติมากอยู่แล้ว ยิ่งหรูหราฟุ่มเฟือยได้มากเท่าไหร่ ชนชั้นสูงบางพวกถึงยิ่งรู้สึกว่าแสดงพลังอำนาจของตระกูลได้มากเท่านั้น

ไม่มีสิ่งสร้างความมั่นใจระดับนั้น ผู้ใดจะฟุ่มเฟือยได้เล่า

ส่วนเรื่องอุ้มเนื้อสัตว์มารกว่าหมื่นชั่ง นี่ก็ไม่เป็นอะไรเช่นกัน สักวันความสามารถของตนก็ต้องแสดงออกไปอยู่แล้ว

“เจ้านายอุ้มเนื้อสัตว์มารกว่าหมื่นชั่งไหว สมควรเป็นอัศวินชั้นฟ้าแล้วกระมัง”

“น่าจะใช่ อัศวินชั้นฟ้าอายุสิบห้า ผ่านช่วงปีใหม่จึงจะอายุสิบหก ช่างเก่งเสียจริง”

“เฮอะ พวกเจ้าเห็นแค่ตอนนี้เจ้านายเยี่ยมยอดเพียงนี้ กลับไม่รู้ว่าทุกวันเจ้านายฝึกฝนจนแทบคลั่งถึงเพียงใด ได้ยินคนรับใช้ที่ลานฝึกยุทธ์บอกว่า พวกเขาเห็นแล้วล้วนรู้สึกว่าน่ากลัวด้วยกันทั้งนั้น”

เหล่าคนรับใช้ชายพึมพำกันไปมา

   ……

“เคร้ง” จานอาหารใบยักษ์ถูกวางลงบนโต๊ะอาหาร ทั้งโต๊ะล้วนสั่นไหว

ปัง ตงป๋อเสวี่ยอิงรีบปิดประตูห้องอาหาร

พวกคนรับใช้ล้วนคิดว่าเจ้านายตนเพียงแค่ฟุ่มเฟือย เพียงแค่หรูหราเท่านั้น

แต่ในความเป็นจริงแล้ว….

ตงป๋อเสวี่ยอิงอยากกินจริง ๆ นี่

“มาเถอะ” ตงป๋อเสวี่ยอิงหยิบมีดหั่นอาหารที่วางอยู่ด้านข้างขึ้นมา แล้วหั่นเอาเนื้อติดกระดูกหนักกว่าสิบชั่งก้อนหนึ่งออกมากินอย่างเต็มปากเต็มคำ เคี้ยวกร้วม ๆ จนแม้แต่กระดูกก็ถูกเคี้ยวแหลกแล้วเขมือบลงท้องไปหมด ร่างกายก็ย่อยแล้วดูดซึมอย่างบ้าคลั่งยินดีอีกครั้ง เพิ่งเข้าสู่ท้องก็ถูกย่อยจนเรียบแล้ว

ร่างกายที่ขาดแคลนพลังงานโหยหิวหาใดเปรียบนั้นย่อยอาหารแล้วดูดซึมไม่หยุด ซึมซับเอาพลังงาน

กิน กิน แล้วก็กิน

ตงป๋อเสวี่ยอิงกินอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า เนื้อสัตว์มารย่างสุกที่ด้านบนชุ่มด้วยน้ำมันสีเหลืองทองลดน้อยลงอย่างต่อเนื่อง กระดูกเล็ก ๆ ล้วนถูกกินจนหมดจด เหลือเพียงกระดูกชิ้นใหญ่บางส่วนเท่านั้น

   ……

“เสวี่ยอิงเอ๋ยเสวี่ยอิง เหตุใดเจ้าจึงฟุ่มเฟือยสิ้นเปลืองถึงเพียงนี้เล่า” เสียงองอาจของมนุษย์สิงห์ถงซานลอยมา เจือด้วยความโกรธสายหนึ่ง ทั้งปราการเมืองก็มีแค่ถงซานและจงหลิงเท่านั้นที่บังอาจกล้าตำหนิตงป๋อเสวี่ยอิงสักหลายประโยค

ผลัวะ

มนุษย์สิงห์ถงซานผลักประตูห้องโถงเข้ามาด้วยความโกรธเคือง แต่ต่อมาเขาก็ต้องตะลึงอ้าปากค้าง จานอาหารใบยักษ์นั้นเหลือเพียงโครงกระดูกใหญ่โตของสัตว์มาร กระดูกเล็ก ๆ นั้นก็ไม่เหลือแล้ว เหลือแค่เพียงกระดูกชิ้นหลักชิ้นใหญ่ ๆ ที่สุดเท่านั้น เนื้อสัตว์มารทั้งหมดหายไปจนเกลี้ยงเกลา

ตงป๋อเสวี่ยอิงที่เช็ดมือจนสะอาดนั่งอยู่อีกข้างตั้งนานแล้ว เขายิ้มพูดว่า “ท่านอาถง ข้าไม่ได้สิ้นเปลืองเสียหน่อย”

อินทรีหิมะเจ้าดินแดน

ละครแนะนำ

ข่าวละครวันนี้ดูทั้งหมด