ยชิ โมโต บริษัทด้านเอนเตอร์เทนเมนต์ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่น ส่งเทียบเชิญให้ไปเยือนโอกินาวา พร้อมกับนำภาพยนตร์ “พรจากฟ้า” ไปฉายให้คนโอกินาวาได้ซาบซึ้งถึงความรัก ความผูกพัน ที่คนไทยมีต่อในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่ต้องบอกว่า ได้ผลดีเกินคาด โดยเฉพาะคนเฒ่าคนแก่ ถึงกับหลั่งน้ำตาหลังจากที่ได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้จนจบ

นอกจากจะเป็นจังหวัดสุดท้าย คือจังหวัดที่ 47 ที่ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของญี่ปุ่นแล้ว โอกินาวา ยังได้ชื่อว่า เป็นเมืองที่มีคนอายุเกิน 100 ปีมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลกเลยทีเดียว

และทุกวันนี้ ที่นี่ก็กำลังเนื้อหอม มีนักท่องเที่ยวเดินทางไปเยือนใกล้จะเฉียด 10 ล้านคนต่อปี โดยเฉพาะล่าสุด มีเครื่องบินของสายการบินโลว์คอสต์ อย่างพีช แอร์ไลน์ส บินตรงสู่โอกินาวาด้วยสนนราคาแค่ไม่กี่พันบาท ยิ่งทำให้เกาะเล็กๆแห่งนี้มีความน่าสนใจมากขึ้นไปอีก เพราะไม่ต้องไปแวะพักที่ไทเป หรือโซล เหมือนสมัยก่อนและยังใกล้เมืองไทยมากกว่าบินเข้าโตเกียวอีกด้วย เพราะใช้เวลาบินแค่ 4 ชั่วโมงเศษเท่านั้น

...

ไปโอกินาวาคราวนี้ บอกเลยว่า ไม่ได้ไปตามโปรแกรมทัวร์แบบฉบับทัวร์ทั่วไป แต่เน้นไปดูวิถีการกินอยู่ของคนโอกินาวาในเขตเมืองนาฮา ซึ่งถือเป็นเขตใจกลางเมืองของโอกินาวา โดยเฉพาะ ถนนโคคุไซ ที่คล้ายๆกับถนนสุขุมวิทบ้านเรา มีร้านค้ามาก มาย ทั้งร้านเสื้อผ้า ร้านขนม ร้านกาแฟเก๋ๆ ร้านสเต๊ก ร้านราเมง แต่ที่น่าสนใจเห็นจะเป็นร้านขายซีฟู้ดสดๆ ที่โชว์ปลาสด กุ้งสด และร้านขายเหล้าอะวาโมริ สินค้าขึ้นชื่ออีกอย่างของโอกินาวา

เรื่องของปลาสด โดยเฉพาะปลาแซลมอน ที่บ้านเราแพงหูฉี่ แนะนำเลยว่า ให้ไปกินที่นี่ ทั้งสด ทั้งอร่อย และถูกมากๆ เป็นการกินปลาแซลมอนที่ฟินสุดๆ ไม่ต้องพึ่งน้ำจิ้มซีฟู้ดแบบเมืองไทยเลย แค่โชยุกับวาซาบิก็จี๊ดจ๊าดจนหยุดไม่อยู่ แถมยังมีกุ้งซาชิมิตัวโตๆ และหอยยักษ์เรียกชื่อยากๆ แต่คนขายบอกว่ามีที่โอกินาวาที่เดียว คล้ายกับหอยนางรมบ้านเราแต่ตัวใหญ่กว่า เนื้อหนึบกว่า โดยเฉพาะถ้าได้ไปกินที่ตลาดสด ซึ่งเป็นตลาดเก่าแก่กลางเมืองโอกินาวา เป็นอาคาร 2 ชั้น เราสามารถซื้อของทะเลสดๆจากตลาดสดชั้นล่างและให้ร้านอาหารที่อยู่ชั้น 2 นำไปปรุง จะทำเป็นซาชิมิ หรือต้ม ผัด นึ่ง ทอด ทำได้หมด คิดค่าทำต่อคน คนละ 500 เยน หรือประมาณ 150 บาท

หลังจากอิ่มท้องในมื้อกลางวัน ที่ต้องเรียกว่ามื้อบ่ายๆแล้ว ก็ได้เวลาทำตัวเป็นผู้บ่าวขาเลาะ เลาะไปตามตรอกซอกซอยเล็กๆของเมือง และก็ที่นี่เลย ร้านขายเสื้อสกรีนจากหินปะการัง คล้ายๆเสื้อที่ขายตามเมืองติดทะเลที่ใช้เปลือกหอยทำลายสกรีนเสื้อ แต่ที่นี่เขาใช้ปะการังที่ตายแล้ว ซึ่งคนทำบอกว่า ให้ลายที่ละเอียดและสวยงามกว่า สำคัญคือ แพงมากๆ

...

ด้วยภาษาอังกฤษที่กระท่อนกระแท่น แต่ความพยายามที่จะอธิบายของคุณพี่เจ้าของร้าน ทำให้รู้ว่าที่นี่นอกจากจะผลิตเสื้อที่สกรีนด้วยปะการังที่เดียวของเมืองแล้ว ยังเป็นที่ที่ แม่บ้านชาวโอกินาวาสามารถมาเรียนรู้การทำเสื้อ กระเป๋าสกรีน เป็นเหมือนเวิร์กช็อปได้ด้วย

และอย่างที่บอกด้วยความเป็นเมืองที่มีคนอายุยืนมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก ตามถนนหนทางหรือแม้แต่แท็กซี่ส่วนใหญ่คนขับมักเป็นคนสูงอายุ อย่างแท็กซี่คันหนึ่งที่เราเรียกจากใจกลางเมืองเพื่อไปอเมริกันวิลเลจ ช็อปปิ้งมอลล์ขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างออกไป อายุร่วม 72 ปี แล้ว แต่ยังอารมณ์ดี ขับรถไปพอรถติด แกก็หยิบซันเซนขึ้นมาเล่นให้ผู้โดยสารฟัง และนี่คืออีกหนึ่งเคล็ดลับของคนอายุยืนที่นี่ คืออารมณ์ดี มองโลกแง่ดี

อีกอย่างที่ตอนนี้กำลังฮิตกันมากสำหรับวัยรุ่นในญี่ปุ่นไม่ใช่แค่โอกินาวา ก็คือการแต่งชุดคอสเพลย์ออกไปถ่ายรูปและเดินห้าง เป็นสีสันอีกแบบหนึ่ง

...

 

จริงๆแล้วคนโอกินาวาดั้งเดิมนั้น เป็นเชื้อสายสืบทอดมาจากอาณาจักรริวกิว ที่มีวัฒนธรรมเป็นเอกลักษณ์ของตัวเอง ขนาดคนที่พูดภาษาญี่ปุ่นได้ ยังบอกว่า คุยกับคนโอกินาวาบางทีก็ไม่รู้เรื่อง เพราะเขาพูดภาษาริวกิว อย่างคนญี่ปุ่นทั่วไป เวลาเราเข้าไปในร้านขายของ จะพูดต่อกันเป็นทอดๆว่า “อิระซัยมาเซ” แปลว่า ยินดีต้อนรับ แต่ถ้าเป็นคนโอกินาวาจะพูดว่า “เมนโซเระ” หรือคำว่าสวัสดี คนญี่ปุ่นพูดว่า “ไฮ้” แต่คนโอกินาวา จะพูดว่า “ไฮโตะ” ประมาณนี้ เหมือนคนต่างจังหวัดบ้านเราที่มีศัพท์ภาษาตามภาคต่างๆแตกต่างกันนั่นเอง

เคล็ดลับอายุยืนของคนโอกินาวาจริงๆแล้วก็ไม่มีอะไรมาก พวกเขามีเมนูอาหารไม่กี่อย่าง แต่ที่ต้องมีทุกร้าน คือ มะระ ที่นำมาทำเป็นอาหารหลากหลายชนิด โดยผัดกับเต้าหู้ ใส่ไข่ หรือฝานบาง เป็นผักเคียงในเมนูซูชิ นอกนั้นก็เป็นอาหารสุขภาพทั่วๆไป เช่น ปลา เต้าหู้ สาหร่าย มันเทศ โดยเฉพาะมันสีม่วง เป็นของขึ้นชื่อของที่นี่ และอีกอย่างที่คล้ายกับบ้านเรา คือธัญพืช คนที่นี่นิยมกินข้าวกล้อง ข้าวบาร์เลย์ ข้าวฟ่าง โดยเชื่อว่านอกจากทำให้สุขภาพดีแล้วยังเป็นการเติมพลังทางจิตวิญญาณ บางครั้งก็นำข้าวไปหุงกับสมุนไพร ธัญพืช และเครื่องเทศต่างๆด้วย เรียกว่า ข้าวพิลาฟ (Pilaf)

...

คุณลุงอาริ คนขับแท็กซี่ในโอกินาวา บอกกับเราว่า สิ่งที่ทำให้คนที่นี่อายุยืน จริงๆแล้วมีแค่ 2 เรื่อง คือ เรื่องกิน กับ เรื่องอยู่ กินของที่ดีต่อสุขภาพ และมีชีวิตอยู่อย่างเรียบง่าย พอเพียง ไม่เร่งรีบ ไม่แข่งขันมาก พอให้เคลื่อนไหวร่างกาย แค่นี้ก็ถือเป็นชีวิตที่มีคุณภาพแล้ว

แม้จะมีเวลาเพียงแค่ 3-4 วันในโอกินาวา แต่ต้องบอกว่า สิ่งที่ได้จากการเดินทางคราวนี้ ไม่ใช่ไปเที่ยวในสถานที่ที่มากขึ้น แต่ระหว่างทางของการทำงานและท่องเที่ยวต่างหากที่ให้คุณค่าและสาระแก่ชีวิตมากกว่า

โดยเฉพาะคำว่า “ชีวิตช้า” Slow and Slow ลุงอาริบอก....!!!!!