จับ “มือบึม” รพ.พระมงกุฎฯได้แล้ว ไม่เกี่ยวทหาร-ตำรวจ ต้องสาวให้ลึกถึงผู้บงการว่าใครเป็นใคร การเมืองจะได้กระจ่างขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง ความมั่นคงของชาติก็จะได้อยู่ในระดับปลอดภัย
ข่าว “เขย่าขวด” สุดสัปดาห์นี้น่าจะ เป็นข่าวดีชิ้นหนึ่งเมื่อมีการจับกุมมือระเบิด “ไปป์บอมบ์” ที่ รพ.พระมงกุฎฯได้แล้ว
เบื้องต้นทราบว่าเป็นคนไทย อายุ 62 ปี เคยเป็นพนักงานไฟฟ้า ค้นบ้านพบอุปกรณ์ระเบิดและชิ้นส่วนระเบิดเพียบ
นั่นแสดงว่ามีความชำนาญในการใช้ระเบิด ประกอบระเบิดเป็นอย่างดี
ก็ต้องฟังรายละเอียดต่อไปว่ามีความเป็นมาอย่างไร มีวัตถุประสงค์อะไรในการลอบวางระเบิดในโรงพยาบาลทหาร
ทำไมต้องเป็นห้อง “วงษ์สุวรรณ”
ดีที่ไม่เกี่ยวกับทหารแตงโม ตำรวจมะเขือเทศ แต่จะเกี่ยวกับกลุ่มใด การเมืองหรือไม่ เชื่อว่าเจ้าหน้าที่คงทราบราย ละเอียดแล้ว
ทางเดียวที่จะทำให้เกิดความกระจ่างก็ต้องสาวไปให้ถึงตัวการใหญ่จะได้กระชากหน้ากากออกมาให้ปรากฏ
ข้อสำคัญก็คือจะได้รู้กันให้ชัดๆว่ามันเป็นฝีมือของใครกันแน่
และยิ่งไปกว่านั้นก็เพื่อยืนยันได้ว่าเมืองไทยนั้นปลอดจากการ “ก่อการร้าย” โดยสิ้นเชิง จะมีปัญหาก็ตรง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น
ไม่ได้เกี่ยวกับไอเอสที่หวั่นใจกันแต่อย่างใด
เพราะประเทศไทยไม่ได้มีความ ขัดแย้งในเรื่องนี้ มีระยะห่างที่ไม่คิดว่าเป็นศัตรูกับพวกเขา และถือเป็นพื้นที่ “ปลอดภัย” หากจะหลบเข้ามาอยู่
จึงไม่คิดว่าจะทำให้ไทยเป็นสนามแห่งการสู้รบ
ต่างกับเพื่อนร่วมอาเซียนไม่ว่าจะเป็นฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย มาเลเซีย ล่าสุดที่สิงคโปร์ก็สามารถจับกุมผู้หญิงคนหนึ่งที่สงสัยว่าพัวพันกับกลุ่มก่อการร้าย
...
ที่ฟิลิปปินส์ดูท่าจะหนักหน่อย เพราะมีการวางพื้นที่เมืองมาราวีเอาไว้เป็นฐานของไอเอสในอาเซียน จึงมีนักรบจากประเทศเหล่านี้เข้าไปร่วมรบด้วย
หรือการที่ประเทศเพื่อนบ้านพยายาม ที่จะโยงว่ามีไอเอสเข้ามาอยู่ในพื้นที่ประเทศไทย ซึ่งข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรยังมิอาจสืบทราบได้
ทางที่ดีก็อย่าประมาท แต่ไม่ควรให้ความสำคัญมากเกินไป
หรือที่มีความพยายามจะบอกว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุใน 3 จังหวัดภาคใต้ต้องการขยายพื้นที่นอกเขต เอาเข้าจริงก็ไม่ใช่และไม่มีทางเป็นไปได้
เหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่เซนซิทีฟสักหน่อยที่การรับฟังข่าวสารต่างๆ จะต้องตรวจสอบให้ดีเสียก่อน ไม่ใช่ฟังมาก็เชื่อไปหมด
ยิ่งไปตอกย้ำกันมากก็ยิ่งเหมือนกับจะเปิดทางให้เขาเข้ามา
การที่สามารถจับกุมมือระเบิด รพ.พระมงกุฎฯได้นั้น ถือว่าเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ต่อการเมืองของประเทศมาก
เพราะจะได้รู้ใครเป็นใคร กลุ่มไหน เป็นการชี้เป้าให้ชัดเจน
ขออย่างเดียวให้เป็นตัวจริงเสียงจริงจะได้สาวไปให้ถึง “ต้นตอ” หรืออย่างน้อยก็ทำให้รัฐบาลฝ่ายความมั่นคงจะได้ตีโจทย์ให้แตก
“ประชาชน” ก็จะได้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร?
หากมาจากการเมืองก็จะได้ตัดสินใจได้ว่าจากนี้ไปควรจะเลือกใครเข้ามาสู่สนามการเมืองเพื่อทำให้การเมืองดีขึ้น
ไม่ต้องตอบคำถาม 4 ข้อของ “นายกฯลุงตู่” ให้ปวดหัว
การเมืองดีไม่ดี พรรคการเมืองดีไม่ดี นักการเมืองดีไม่ดี ฐานความคิดตรงนี้ก็จะเป็นตัววัดได้ว่าสมควรจะเลือกหรือไม่?
นี่ก็เป็นกระบวนการเรียนรู้จากพฤติกรรมคน!!!
“ลิขิต จงสกุล”