วันเสาร์ที่ผ่านมา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และผองเพื่อนก๊วนใหญ่ ยังไปเล่นกอล์ฟกันอย่างสบายใจ ท่ามกลางสารพัดวิกฤติที่รุมเร้าประเทศ โดยเฉพาะ ปัญหาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของ ไวรัสโคโรนา (โควิด-19) ข้อมูลล่าสุดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา มีผู้ติดเชื้อทั่วโลกเพิ่มขึ้นเป็น 67,191 ราย เสียชีวิต 1,527 ราย เป็นผู้ติดเชื้อในจีน 66,492 ราย เพิ่มขึ้นอีก 2,600 ราย เสียชีวิตในจีน 1,523 ราย เพิ่มขึ้น 143 ราย เสียชีวิตในมณฑลหูเป่ยแหล่งกำเนิดเชื้อไวรัส 139 ราย ส่งผลให้มีการปิดเส้นทางการคมนาคมขนส่งระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น

ล่าสุด การบินไทย ได้ปรับลดเที่ยวบิน กรุงเทพฯ-โซล จากวันละ 5 เที่ยวบิน เหลือ 4 เที่ยวบิน ตั้งแต่ 26 กุมภาพันธ์-28 มีนาคม ยกเลิกเที่ยวบิน กรุงเทพฯ-ปูซาน วันที่ 27 กุมภาพันธ์ และ 5-6 มีนาคม ปรับลดเที่ยวบิน กรุงเทพฯ-สิงคโปร์ จากวันละ 5 เที่ยวบินเหลือ 4 เที่ยวบิน ตั้งแต่ 20 กุมภาพันธ์-27 มีนาคม

น.ท.สุธีรวัฒน์ สุวรรณวัฒน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ เปิดเผยว่า เดือนกุมภาพันธ์นี้จำนวนผู้โดยสารมีแนวโน้มจะปรับลดลงเหลือ 140,000 คนต่อวัน ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนถึง 30% หรือ เฉลี่ยลดลง 60,000 คนต่อวัน เนื่องจากนักท่องเที่ยวในภูมิภาค เช่น จีน เกาหลี ญี่ปุ่น เริ่มชะลอการเดินทาง หากปัญหาดังกล่าวยืดเยื้อไปจนถึงเดือนเมษายน คาดว่าอัตราการเติบโตของผู้โดยสารจะเท่ากับปีก่อนประมาณ 3%

รายงานข่าวจาก ท่าอากาศยานไทย เปิดเผยว่า นับตั้งแต่จีนปิดเมือง 24 มกราคม–13 กุมภาพันธ์ ในช่วง 21 วัน สายการบินต่างๆ ได้แจ้งยกเลิกเที่ยวบินไปแล้ว 2,762 เที่ยวบิน เฉลี่ยยกเลิกวันละ 132 เที่ยวบิน

...

นี่คือ สถานการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทยอย่างรุ่นแรง เป็นเรื่องวิกฤติที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี จะต้อง “เร่งตั้งวอร์รูมเศรษฐกิจขึ้นมาแก้ปัญหา โดยเร่งด่วนที่สุด” ไม่ใช่ไปเล่นกอล์ฟสบายใจเฉิบ เหมือนไม่รู้สึกอนาทรร้อนใจกับวิกฤติเศรษฐกิจที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยและคนไทย

รายได้จากการท่องเที่ยวที่หายไป คุณดอน นาครทรรพ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ประเมินในเวทีเสวนา “ทางรอดเศรษฐกิจไทยภายใต้ไวรัส” วันก่อนว่า อาจทำให้จีดีพีไทยปี 63 เติบโตได้เพียง 1.3% เนื่องจาก เศรษฐกิจไทยมีขนาดประมาณ 16 ล้านล้านบาท ถ้านักท่องเที่ยวหายไป 5 ล้านคน ทำให้รายได้จากการท่องเที่ยวหายไป 250,000 ล้านบาท ตามที่ กระทรวงการท่องเที่ยวฯ คาดการณ์ ก็คิดเป็น 1.5% ของจีดีพี อาจทำให้จีดีพีปี 2563 ที่ ธนาคารแห่งประเทศไทย เคยคาดการณ์ว่า จะเติบโต 2.8% หายไป 1.5% เท่ากับว่า จีดีพีไทยปี 2563 จะเติบโตเพียง 1.3% เท่านั้น แต่หวังว่าสถานการณ์จะไม่เลวร้ายขนาดนั้น

คุณดอน ยังเปิดเผยด้วยว่า ปกติ กนง.จะไม่ค่อยชอบการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายมากนัก แต่ปัจจัยหลักที่ทำให้ กนง.มีมติลดดอกเบี้ยลงมาเหลือ 1% ต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์เมื่อวันก่อนด้วยมติ 7 ต่อ 0 ก็คือการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (โควิด–19) แสดงว่า การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนามีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมาก เพราะภาพรวมของรายได้จากการท่องเที่ยวอยู่ที่ 2.9 ล้านล้านบาท และอุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง คิดเป็น 20% ของจีดีพีรวม

แต่ดูเหมือน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ยังไม่รู้สึกร้อนใจ ยังชิวชิวตลอดเวลา เมื่อถึง วันอภิปรายไม่ไว้วางใจในสัปดาห์หน้า ผมหวังว่า พล.อ.ประยุทธ์ จะมีแนวทางการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจของประเทศที่ชัดเจน เพื่อให้คนไทยและนักธุรกิจรู้สึกมั่นใจในอนาคต มิฉะนั้นเศรษฐกิจไทยมีปัญหาแน่นอน.

“ลม เปลี่ยนทิศ”