โขนพระราชทานตอน “สืบมรรคา” ทั้งยักษ์ปักหลั่นที่โผล่ขึ้น จากสระโบกขรณี ทั้งนางผีเสื้อสมุทรที่ถูกหนุมานทหารเอกพระรามฆ่า...เท่าที่ผมรู้ๆมา ยักษ์น้ำเรียก “รากษส”

วรรณคดีสันสกฤต มีคำ “แทตย์” อมนุษย์จำพวกหนึ่ง ซึ่งแบ่งออกเป็นสามพวกใหญ่ พวกยักษ์ พวกอสูร พวกรากษส...เอ๊ะ! ชักจะยุ่งกันไปใหญ่
ยักษ์ รากษส อสูร ที่บางแห่งก็ใช้ว่า “มาร” หน้าตาดุร้าย น่าเกลียด เขี้ยวโง้ง ทำท่าเป็นคนละพวกเดียวกัน

แต่เมื่อได้อ่าน “เทวาสุรสงคราม” จากพจนานุกรม ศัพท์วรรณกรรมไทย ฉบับราชบัณฑิตสถาน ก็ดูจะต้องทำความเข้าใจ ยักษ์ อสูร ฯลฯ ใหม่

ชื่อ “เทวาสุรสงคราม” ก็แปลว่า สงครามระหว่างเทวดากับอสูร เป็นเรื่องราวที่เหล่าอสูรยกพลขึ้นไปรุกรบสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ....สงครามนี้มีที่มาน่าสนใจ

เรื่องเกิดเมื่อมฆมานพ ตายก็ไปเกิดเป็นพระอินทร์อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ พร้อมเทพบุตรผู้เป็นสหาย

เทวดาเก่าเจ้าถิ่นตกแต่งสุราบานเหล้าหอมทิพย์ต้อนรับเพื่อนใหม่ พระอินทร์กระซิบให้เพื่อนเทพบุตรแกล้งทำท่าดื่ม แต่ไม่ดื่ม ปล่อยให้เทวดาเก่าดื่มจนเมาหลับใหลไม่ได้สติ

มีเหตุผลว่าเทวดาขี้เมาไม่ควรอยู่บนสวรรค์ พระอินทร์สั่งเทวดาหน้าใหม่ที่ไม่เมาจับเทวดาขี้เมาโยนลงไปเชิงเขาพระสุเมรุ

แต่เทวดาหน้าเก่าทำบุญไว้มาก จึงบังเกิดเมืองสี่ทิศ ใหญ่โตโอฬารไม่แพ้สวรรค์ชั้นดาวดึงส์

จะด้อยกว่าก็ตรงที่ดาวดึงส์มีต้นปาริชาตหอม (ได้กลิ่นแล้วระลึกชาติได้) แต่เมืองของเทวดาเก่ามีแค่ต้นแคฝอย...รูปพรรณพอไปกันได้ ดอกสวย แต่ไม่มีกลิ่นหอม

...

เทวดาเก่าฟื้นคืนสติแล้วก็รู้ตัว สัญญากันว่าจะไม่ดื่มสุราอีก จึงได้ชื่อเรียกตามพฤติกรรมนี้ว่า “อสูร”

ฝ่ายพระอินทร์ก็รู้ตัวดี งานนี้จะมีการล้างแค้นเอาคืน สั่งตั้งด่านรักษาสวรรค์เอาไว้ 5 ชั้น

ชั้นแรกพวกนาค ชั้นสองพวกครุฑ ชั้นสามพวกกุมภัณฑ์ ชั้นสี่พวกยักษ์ (นี่ไง ทั้งกุมภัณฑ์ ทั้งยักษ์ กลายเป็นคนละพวกไปเสียอีก) ชั้นที่ห้าด่านท้าวจตุมหาราชิกทั้ง 4

ที่จริงเหล่าอสูรมีอายุ อิสริยสมบัติเสมอด้วยเทวดา เสวยสุขรื่นรมย์จนไม่รู้ตัวว่าอยู่ในเมืองอสูร

จนโน่นแหละ ถึงฤดูต้นแคฝอยบาน...ระลึกถึงต้นปาริชาตและสวรรค์ดาวดึงส์ ก็รวมพลยกทัพขึ้นไป หมายจะชิงเอาดาวดึงส์คืน

สงครามเทวดากับอสูร เดินไปทำนองนี้ ปีแรกก็ถูกด่านพวกนาคสกัดได้ ปีต่อมารุกไปด่านพวกครุฑ บางปีทะลุผ่านด่านกุมภัณฑ์ ด่านยักษ์ นานๆปีก็หักได้ทั้งห้าด่าน

ร้อนถึงพระอินทร์ต้องทรงรถไพชยนต์ ออกมารับหน้า และสงครามนี้ก็จบลงตรงพวกอสูรแค่เห็นพระอินทร์ก็หวาดหวั่น ไม่อาจต่อรบ แตกพ่ายกลับเมืองอสูร

ในการสงครามที่สองฝ่ายมีอาวุธยุทโธปกรณ์ครบครัน กระทำกันอย่างกลั่นกล้า แต่ก็มีผู้หนึ่งผู้ใดต้องอาวุธเลือดตกยางออก หรือเสียชีวิตก็ไม่มี แม้ผิวหนังก็ไม่ปรากฏริ้วรอย

การแพ้กัน ท่านว่าเกิดจากการกลัวฤทธิ์แพ้ฤทธิ์กันเท่านั้น

อ่านเทวาสุรสงครามจบผมก็พบว่า ทั้งเทวดาบนดาวดึงส์ อสูรบนเมืองเชิงเขาพระสุเมรุ ยักษ์ กุมภัณฑ์ ยักษ์ภูเขา ซึ่งอาจจะรวมไปถึงรากษส ยักษ์น้ำ...ล้วนแล้วแต่มาจากเผ่าพันธุ์เดียวกัน

ศักดิ์ฐานะเท่ากัน เวลารบกันจึงซูเอี๋ยกัน รบบู๊ล้างผลาญ แต่ไม่มีใครเจ็บไม่มีใครตาย

ผมเล่าเรื่องเทวาสุรสงครามหลายครั้ง ทุกครั้งก็เปรียบเปรยไปถึงสงครามนักการเมือง ไม่ว่ารบกันกลางถนน หรือพ่นน้ำลายใส่กันในสภา หลายครั้งคนเจ็บคนตายหลายสิบหลายร้อยคน

แต่พวกเทวดาอสูร เอ๊ย! นักการเมืองซึ่งล้วนแต่มีวิชา ยังไม่เคยมีใครเจ็บตายเลยสักคน.

กิเลน ประลองเชิง