ชาวพุทธไทย คุ้นกับเทวอารักษ์อยู่แล้ว ถ้านึกไม่ออก เทวดาหน้าตาอย่างไร นึกถึงบท “สัคเค กาเม...” ที่พระสวดชุมนุมเทวดา หาคำแปลออกมา ก็จะรู้ว่าเทวดาที่เชิญมา “แบบไหน”แต่ที่ไม่คุ้น ก็คือเทวดา...ที่พวกพราหมณ์ และพวกโหร บูชา...ก่อนทำพิธีกรรมสำคัญ“โอม พระภูมิพระธรณี กรุงพาลีเรืองฤทธิ์ ฯลฯ...”“โอม” ผมพอจำได้ เป็นคำรวม อะ อุ มะ เอ่ยคำเดียว หมายถึง จอมเทพทั้งสาม พระศิวะ พระนารายณ์ พระพรหม ส่วนพระภูมิ... “เจ้าที่” พระธรณี นึกถึงนางธรณีบีบมวยผม ก็ได้เค้า เทวดาองค์นี้เป็นผู้หญิงจะงงก็ตรง “กรุงพาลีเรืองฤทธิ์” ใช้คำกรุงนำหน้า น่าจะเป็นนครหรือเมืองที่ไหนสักแห่งความจริง กรุงพาลี...ในบทบูชานี้ ไม่ใช่พาลี วานรเจ้าเมืองขีดขิน พี่ชายสุครีพในรามเกียรติ์ แต่หมายถึง “ท้าวพลี” อสูรสำคัญ มีฤทธิ์เดชระดับบู๊ล้างผลาญสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วสามโลกเรื่องนี้ อยู่ในวามนาวตาร อวตารปางที่ 6 ของพระนารายณ์ท้าวพลีครองโลกบาดาลอยู่ดีๆ แต่ตอนที่พระศิวะขอแรงให้ไปช่วยงานกวนเกษียรสมุทร ก็มีจิตอาสาไปออกแรงช่วยเต็มที่ออกแรงหนักไป...เทวดากินแรง มีเรื่องรบกันถูกเทวดาฆ่าตาย อสูรบริวารอุ้มศพไปชุบให้ฟื้นในเมืองบาดาลฟื้นแล้วความแค้น ท้าวพลีตั้งใจบำเพ็ญตบะยิ่งยวด จนมีฤทธิ์แบบไร้เทียมทาน ก็ได้ใจ ยกทัพอสูรไปชิงนครอมราวดีจากพระอินทร์ พระอินทร์พาเทวดาหนีกระเจิงขั้นยึดสวรรค์ได้ ก็เป็นอันว่าได้โลกมนุษย์แถม ท้าวพลียึดได้หมดสามโลกพระอินทร์ฟ้องพระนารายณ์ แต่ฤทธิ์เดชท้าวพลี พระนารายณ์ก็ใช่จะปราบซึ่งหน้า ต้องอวตารเป็นพราหมณ์เตี้ย ชื่อวามน เลียบเคียงรอเวลาที่ท้าวพลี จะทำพิธีสำคัญตามพิธีกรรม ต้องให้พราหมณ์ขอทักษิณา พราหมณ์ท่วงทีนอบน้อม ออกปากขอที่สามก้าวก็แค่ที่ดินแค่สามก้าว ท้าวพลีก็หลุดปากให้ทันทีนั้น พราหมณ์เตี้ยตัวเล็กก็สำแดงปาฏิหาริย์ จำแลงร่างใหญ่มหึมา ก้าวหนึ่งก็ย่างตลอดโลกสวรรค์ ก้าวสองก็ย่างตลอดโลกมนุษย์ท้าวพลีจึงรู้ว่าพราหมณ์วามน คือพระนารายณ์ สำนึกตัวว่าไม่มีทางสู้ เปลี่ยนบทจากผู้ยิ่งใหญ่มาเป็นผู้น้อย ยอมก้มหัวบูชาพระนารายณ์พระนารายณ์ไม่เพียงอนุญาตให้ท้าวพลีครองโลกบาดาลต่อไป ยังประทานให้ได้ขึ้นมาครองทั้งโลกมนุษย์และโลกสวรรค์ในวันข้างหน้าด้วยเหตุนี้ พวกพราหมณ์พวกโหรที่รู้ดี ท้าวพลีจะต้องเป็นใหญ่ จึงเตรียมตัวอ่อนน้อมไว้ก่อน ชื่อท้าวพลีจึงเป็นชื่อหนึ่งในบทบูชา เผื่อเป็นที่พึ่ง เมื่อวันหน้า...วันนั้นมาถึงปี พ.ศ.2490 ชะรอยเป็นช่วงเวลาทหารแก่ชุดจอมพลผิน ทำรัฐประหารยึดอำนาจรัฐบาลพลเรือน...อาจารย์กาญจนาคพันธุ์ ท่านเขียนบทความเรื่อง “หลักเมือง” ไว้ให้อ่านท่านเล่าว่า ในศาลหลักเมือง มีรูป “กรุงพาลี” ก็คือท้าวพลีไว้ ให้กราบไหว้ ในฐานะพระภูมิเจ้าที่ผู้มีฤทธิ์ตนหนึ่งแต่ใครที่ไปไหว้เจ้าพ่อหลักเมือง ตอนนี้ไม่มี “รูปท้าวพลี” แล้วผมเดาว่า คนรุ่นใหม่ ไม่เชื่อเรื่อง “วันหน้า” ไม่เชื่อว่า อสูรอย่างท้าวพลี จะมีโอกาสกลับมาใหญ่ในสามโลกได้อีก ตอนปรับปรุงศาลหลักเมือง จึงยกรูป “กรุงพาลี” ทิ้งท้าวพลีตัวจริงเค้าหน้าตาเป็นไง หน้าเหลี่ยม หน้ากลมแค่ไหน น่าเสียดาย ที่ไม่ได้เห็นกัน.กิเลน ประลองเชิง