งานประจำปีวัดเขาย้อยเพชรบุรี ปี พ.ศ.2501 นั้น กรรมการวัดหารือกันว่าจะหาเงินสักก้อนมาซ่อมกุฏิที่เก่าคร่ำคร่า ตกลงกันว่า จะหาวงดนตรีดังๆมาเปิดวิกเก็บเงิน

ตอนนั้นวง สุรพล สมบัติเจริญ กำลังดัง แต่ราคาเล่นคืนเดียว 7 พัน มีเสียงทักว่าแพงไป ที่สุดก็ได้วงพิพัฒน์ บริบูรณ์ ราคาคืนละ 5 พัน

ผมเป็นเณรบวชใหม่ อายุเพิ่ง 12 จำบรรยากาศงานวัดได้ดี ค่าดูดนตรี 2 บาท แต่ใครไม่มีเงิน ก็มีคอกโทรทัศน์ขาวดำ ตอนนั้นแปลกใหม่ ค่าดูสลึงเดียว

ที่จำได้แม่นกว่า คือหนุ่มน้อยร่างเล็กบอกตัวเองว่า ชื่อเพชร พนมรุ้ง เป็นนักร้องเพลงโห่ตอนนั้นก็ดังแล้ว มาแวะพักที่กุฏิ ชักชวนกันไปเดินเที่ยว

เพชร พนมรุ้ง ใช้ผ้าขาวม้าคลุมหัวแนบหูปิดคาง เดินไปทั่วงานไม่มีใครรู้จักและจำได้ แต่ตอนออกมาร้องหน้าเวที มีแฟนๆโห่รับกันเกรียวกราว

นี่เป็นความหลังเรื่องเล็กๆ ที่ผมรื้อฟื้น เมื่อดูทีวีช่องไทยพีบีเอส รายการไทยบันเทิง ไวพจน์ เพชรสุพรรณ เล่าว่าเคยเช่าบ้านอยู่หลังเดียวกันกับเพชร พนมรุ้ง ในซอยดงมูลเหล็ก

ชีวิตคนบ้านนอกที่บากบั่นเข้าไปแสวงโชคในกรุง กระทั่งพุ่มพวง ดวงจันทร์ ที่เริ่มต้นด้วยการกราบตักฝากตัวเป็นนักร้องกับไวพจน์ เพชรสุพรรณ ก็ใช้เส้นทางเดียวกัน

พุ่มพวงดังมาก แต่ตายเมื่ออายุ 31 ส่วนเพชร พนมรุ้ง ยังอยู่ตอนนี้อายุใกล้ 80 ปี มีข่าวป่วยเข้าโรงพยาบาล ครอบครัวแบกค่ารักษาไม่ไหว นักร้องลูกทุ่งรุ่นใหญ่ จัดงานระดมเงินช่วย

ทีวีออกข่าวหลายช่อง สัจจภูมิ ละออ เขียนลงสกู๊ปหน้า 1 ไทยรัฐ ผมหวังว่าคงช่วยผ่อนหนักเป็นเบาให้ครอบครัว เพชร พนมรุ้ง ได้บ้าง

รุ่งเพชร แหลมสิงห์ ก็มาช่วย เห็นทางทีวีแก่ตามวัย...รุ่งเพชรตอนอัดแผ่น ฝนเดือนหก...ชื่อที่ตั้งใจ รุ่งเพชร แหลมสน แต่คนพิมพ์ผิด เป็นแหลมสิงห์ เอ้า...แหลมสิงห์ ก็แหลมสิงห์ ดังยกใหญ่ แบบยั้งไม่หยุด ฉุดไม่อยู่

...

แล้วแหลมสนล่ะ คีตา พญาไท เล่าว่า แหลมสนชื่อบ้าน รุ่งเพชร เป็นแหลมริมทะเลเขาย้อย มองจากวัดเขาย้อย ที่ผมเจอเพชร พนมรุ้ง ไปทางสถานีรถไฟ เลยออกไป

ผมพยายามทบทวนความจำ ปิดบัญชีงานประจำปีเขาย้อย วัดได้เงินไม่เท่าไหร่ เพราะทางวัดหลังเขาย้อยเป็นคู่แข่ง กล้าสู้ราคา เอาวงสุรพล สมบัติเจริญมาเล่นแย่งคนดู

วัดเขาย้อย เป็นวัดมหานิกาย หลวงน้าช่วย สมภารท่านเคร่งมาก พระเณรฉันกาแฟไม่ใส่นม พระไม่จับเงิน วันหนึ่งหลวงน้า เห็นมะม่วงดิบในกุฏิพระรูปหนึ่ง ก็เรียกไปเตือน...

“มะม่วงที่เก็บไว้ค้างคืน รุ่งขึ้นเอามาฉัน เป็นอาบัติ...ทุกคำกลืน...นะคุณ” ผมยังจำได้ฝังใจ

พระที่เคร่งวินัย ไม่จับเงินที่มีคนถวาย ไม่ยุ่งกับเงินวัด...ปล่อยให้เป็นเรื่องของกรรมการ ท่านก็ทรงศีลทรงธรรม งดงามผ่องใส ตลอดอายุขัยสมภาร

ที่วัดเขาย้อยนี่แหละครับ หลวงพี่มหาสวัสดิ์(เอี่ยมองค์) เล่านิทานชาววัดให้เณรฟัง...พระสมภารรุ่นใหม่ ไปถามสมภารรุ่นเก่า มีอะไรให้ต้องระวัง “ระวัง 3 ง.” สมภารเก่าว่า

“ง. แรก คืองู เผลอให้หลุดเข้ากุฏิ มันก็จะกัดตาย ง.สอง เงินมีไว้มากในย่าม ข่าวเข้าหูผู้ร้าย ไม่ช้ามันก็จะมาฆ่าชิงเงิน” “ง.ที่สาม เงี่ยน อาการที่เกิดเหมือนคนติดเฮโรอีน...แต่กับพระ ให้ระวังอารมณ์กับสีกา”

ส่วนใหญ่ที่เสร็จๆ (ปาราชิก) กันไป ก็เพราะ ง.เงิน และ ง.สีกา

บทสรุปคำสอนของสมภารเก่า...ข่าวจับพระทั้งข่าวจริงและข่าวปล่อย จับระดับสอง-สามสมเด็จฯ เป็นคำตอบที่แจ่มแจ้ง...เพียงแต่มีประเด็นให้คิดว่า

ระหว่าง ง.เงิน กับ ง.สีกา ง.ไหนทำให้พระปาราชิกได้มากกว่ากัน.

กิเลน ประลองเชิง