ในรายการ “ศาสตร์พระราชาฯ” เมื่อคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรีปรารภว่า สมาชิกรัฐสภามี 2 ฝ่าย คือ “ฝ่ายรัฐบาล” กับ “ฝ่ายค้าน” น่าจะเปลี่ยนเป็น “ฝ่ายรัฐบาล” กับ “ฝ่ายค้านและสนับสนุน” ฝ่ายค้านมีหน้าที่ตรวจสอบถ่วงดุล ติเพื่อก่อ แต่เรื่องที่เป็นยุทธศาสตร์ชาติ หรือนโยบายปฏิรูป ต้องสนับสนุนไม่งั้นก็ล้มหมดไม่มีแนวทางพัฒนาที่ยั่งยืน
นับเป็นคำพูดที่น่าคิด ทำไมต้องมี “ฝ่ายค้าน” ที่อาจค้านทุกอย่างที่ขวางหน้า แต่เรื่องนี้เป็นเพียงเรื่องของภาษา เพราะประเทศไทยได้แบบอย่างมาจากอังกฤษ เรียกฝ่ายที่ไม่ได้ร่วมรัฐบาลว่า opposition หมายถึงฝ่ายที่อยู่คนละข้างกับรัฐบาล แต่เมื่อถอดเป็นภาษาไทยว่า “ฝ่ายค้าน” อาจทำให้เข้าใจว่าจะต้องค้านทุกเรื่อง ซึ่งไม่จริงเสมอไป
ถ้าจะเปลี่ยนชื่อใหม่ อาจจะต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ เนื่องจากรัฐธรรมนูญไทยหลายฉบับ นับแต่ฉบับ 2517 จนถึง 2560 บัญญัติไว้ตรงกันว่า พระมหากษัตริย์จะทรงแต่งตั้ง ส.ส. ผู้เป็นหัวหน้าพรรคที่ไม่ได้ร่วมรัฐบาลและมี ส.ส. มากที่สุด เป็น “ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร” เป็นประเพณีของระบบรัฐสภา ต่างจากระบบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา
ระบบประธานาธิบดีแบบอเมริกัน ไม่มีตำแหน่งผู้นำฝ่ายค้านในสภา ไม่มีฝ่ายค้านอย่างเป็นทางการ เพราะสมาชิกรัฐสภามีความเป็นอิสระในการลงมติ โดยไม่ต้องทำตามมติพรรค แต่ในระบบรัฐสภา ส.ส.ต้องทำตามมติพรรคเป็นส่วนใหญ่ มิฉะนั้นอาจโดนไล่ออกจากพรรคและขาดจาก ส.ส. จึงไม่ต้องห่วงว่ายุทธศาสตร์ชาติจะถูกคว่ำ ถ้ารัฐบาลมีเสียงข้างมาก
หากพรรคฝ่ายค้านจะลงมติคว่ำเรื่องใดเรื่องหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี หรือแผนปฏิรูปประเทศ ย่อมเป็นสิทธิอันชอบธรรมของพรรคนั้นๆ เพราะยุทธศาสตร์ชาติไม่ใช่คัมภีร์ไบเบิลหรือพระไตรปิฎก ที่ห้ามแก้ไขเปลี่ยนแปลง แต่ยุทธศาสตร์ชาติเป็นนโยบายของรัฐบาล คสช. จึงแก้ไขเปลี่ยนแปลงให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เพราะโลกไม่ได้หยุดนิ่ง
...
เช่นเดียวกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่มีมาแล้วถึง 12 แผน แผนละ 5 ปี รวมเวลาเกือบ 60 ปี ก็มีการปรับปรุงแก้ไขอย่างต่อเนื่อง ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ที่เปลี่ยนไปตลอดเวลา รัฐบาลที่ทำให้ประเทศหยุดนิ่งอยู่กับที่ 20 ปี น่าจะเป็นรัฐบาลที่เป็นปัญหา และเป็นอุปสรรคในการพัฒนาประเทศมากกว่า
แม้จะได้ชื่อว่า “ฝ่ายค้าน” แต่ไม่จำเป็นจะต้องค้านทุกเรื่อง แต่จะต้องเป็นฝ่ายค้านที่สร้างสรรค์ รับผิดชอบต่อประเทศชาติและประชาชน เชื่อว่านักการเมืองที่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ จะไม่มีใครคัดค้านหรือลงมติคว่ำเรื่องที่เป็นผลประโยชน์ที่สำคัญยิ่งของประเทศและประชาชน ฝ่ายค้านที่ขาดความรับผิดชอบ ต้องให้ประชาชนเป็นผู้ลงโทษในการเลือกตั้ง.