วันเสาร์ที่ผ่านมา คุณซิน เกาบิน รัฐมนตรีช่วยอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศจีน เปิดเผยที่นครเทียนจินว่า รัฐบาลจีน กำลังวางแผนร่วมกับหน่วยงานต่างๆ เพื่อกำหนดเส้นตาย “ยุติการผลิตและจำหน่ายรถยนต์ใช้น้ำมัน” ในเร็วๆนี้ เพื่อเร่งให้บริษัทรถยนต์หันมาพัฒนาผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเร็วขึ้น เพื่อลดมลพิษในอากาศให้ได้ตามเป้าหมายปี 2030 ในอีก 13 ปีข้างหน้า

ก่อนหน้านี้ จีนก็เป็นประเทศแรกในโลกที่ ห้ามใช้รถมอเตอร์ไซค์น้ำมัน หันมาใช้ รถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า แทน วันนี้จีนมีรถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้ากว่า 200 ล้านคัน

ฮอนด้า มอเตอร์ ค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นที่ไปร่วมทุนกับ กว่างซี และ ตงเฟิง บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่จีน ออกขานรับทันที เตรียมเปิดตัว รถยนต์ไฟฟ้ารุ่นใหม่ ภายใต้ชื่อใหม่ที่ผลิตในจีนในปีหน้า 2018 โฟล์คสวาเกน รถยนต์เยอรมันที่ขายดีที่สุดในจีน ก็ประกาศจะเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าเอสยูวีในจีนปีหน้า เช่นเดียวกัน

ปีที่แล้ว ตลาดจีนมียอดขายรถยนต์ใหม่สูงถึง 29.4 ล้านคัน 7 เดือนแรกปีนี้ก็ขายรถยนต์ใหม่ไปอีก 12.6 ล้านคัน โอกาส รถยนต์ไฟฟ้า ในจีน จึงมีมากมายมหาศาล

รัฐบาลจีน ตั้งเป้าว่า ถ้าสามารถเปลี่ยนรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน เป็นรถยนต์ไฟฟ้าได้ทั้งหมด ไม่เพียงจะลดมลพิษในอากาศจีนได้เท่านั้น แต่ยังสามารถ เปลี่ยนท้องฟ้าสีเทาดำ ให้กลับมาเป็น ท้องฟ้าสีครามสดใส อันสวยงามในอนาคตได้อีกด้วย

ก่อนหน้านี้ วอลโว่ บริษัทรถยนต์สวีเดน ก็ประกาศ เลิกผลิตรถยนต์ที่ใช้น้ำมันเบนซินและดีเซลล้วนในปี 2019 และหันมาผลิต รถยนต์ไฟฟ้า รถยนต์ไฮบริด แทน นอร์เวย์ ก็ประกาศเลิกผลิตรถยนต์ที่ใช้น้ำมันในปี 2025 อินเดีย ประกาศเลิกผลิตรถยนต์ใช้น้ำมันในปี 2030 ฝรั่งเศส ประกาศเลิกผลิตรถยนต์ใช้น้ำมันปี 2040 ตามด้วย อังกฤษ ก็เพิ่งประกาศจะเลิกผลิตรถยนต์ใช้น้ำมันในปี 2040 เช่นเดียวกัน เพื่อช่วยกันลดโลกร้อนให้เย็นลง และลดมลพิษในอากาศให้น้อยลง

...

ประเทศไทย แม้จะไม่มีการประกาศจะเลิกผลิตรถยนต์ใช้น้ำมัน แต่การที่รัฐบาลหันมาเร่งส่งเสริมการผลิต รถยนต์ไฟฟ้า ให้เกิดเร็วขึ้น ก็เป็นนโยบายที่ดีมาก จะให้ดีกว่านั้น ผมคิดว่า ควรจะมีการกำหนดเป้าหมายเวลาให้ชัดเจน เช่นเดียวกับนานาประเทศ อีกกี่ปี สัดส่วนรถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นเท่าไหร่ รถยนต์ที่ใช้น้ำมันจะลดลงเท่าไหร่ เพื่อสร้างความชัดเจน

เรื่องราวที่เกิดขึ้น ผมหวังว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี คงจะเห็นแนวโน้มของโลกที่ชัดเจน ควรดูแล กระทรวงพลังงาน และ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ให้ทำงานอยู่ในกรอบของโลก ไม่ใช่เปลี่ยนแผนผลิตไฟฟ้าอยู่เรื่อย เพื่อหาช่องทาง เพิ่มโรงไฟฟ้าถ่านหินราคาแพงและล้าหลัง เข้าไปในแผน โรงไฟฟ้าถ่านหิน ไม่ว่าแพงแค่ไหน ทันสมัยแค่ไหน มันก็คือ พลังงานตกยุค เทคโนโลยีตกยุค ที่จะทำร้ายลูกหลานไทยในอนาคต

ในงาน แฟรงก์เฟิร์ต มอเตอร์โชว์ 2017 วันที่ 14-24 กันยายนนี้ ที่ นครแฟรงก์เฟิร์ต เยอรมนี ก็มีการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้ากันมากมาย รวมทั้ง รถยนต์พลังงานไฮโดรเจน F-Cell ด้วย คันที่โดดเด่นที่สุดคือ รถยนต์ไฟฟ้าอัตโนมัติ SMART คันจิ๋วสองที่นั่ง ชื่อ SMART Vision EQ FORTWO ซึ่ง เมอร์เซเดส เบนซ์ ตั้งใจสร้างขึ้นมาเป็น Car Sharing รถยนต์แบ่งกันใช้ ที่ผมเขียนถึงเมื่อวันเสาร์ ตามกลยุทธ์ CASE หรือ Connected-Autonomous-Shared- Electric ที่ค่ายเบนซ์มองว่าจะเกิดขึ้นในปี 2030

อีคิว ฟอร์ทู คือ วิสัยทัศน์การเดินทางในเมืองในอนาคต เป็นรถ Ride Sharing ที่ทำงานด้วยระบบอัตโนมัติและไฟฟ้าสมบูรณ์แบบ ไม่มีคันเร่ง ไม่มีเบรก ไม่มีพวงมาลัย ผู้ใช้ไม่ต้องป้อนข้อมูลใดๆ บอกแค่จุดหมายปลายทางผ่านสมาร์ทโฟนและจอสัมผัสที่กระจกหน้า ใช้แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน วิ่งได้ 300 กม. ต่อการชาร์จหนึ่งครั้ง ผู้โดยสารคนแรกสามารถดูโปรไฟล์ของผู้โดยสารคนที่สองได้ ถ้าไม่ชอบสามารถปฏิเสธได้ เพราะรถนั่งได้แค่สองคน คนนั่งต้องมีรสนิยมใกล้เคียงกัน จึงจะไปด้วยกันได้ ส่งเสร็จก็วิ่งไปชาร์จไฟเองจอดเอง

นี่คือ โลกยานยนต์อนาคต ที่กำลังจะมาถึงในปีหน้าปีโน้น เร็วจนคาดไม่ถึง.

“ลม เปลี่ยนทิศ”