หลังเจอวิกฤติ “ปราบทัวร์ศูนย์เหรียญจีน” ไปพักใหญ่ สองวันก่อน คุณพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ ปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวฯ แถลงว่า สถานการณ์ท่องเที่ยวไทยกลับเข้าสู่ภาวะสมดุลแล้ว 6 เดือนแรกที่ผ่านมา การท่องเที่ยวทำรายได้สูงถึง 1.37 ล้านล้านบาท จาก นักท่องเที่ยวต่างชาติ 876,000 ล้านบาท จาก นักท่องเที่ยวไทย 500,000 ล้านบาท
งานนี้พิสูจน์ชัดเจนว่า ปราบทัวร์ศูนย์เหรียญจีนแล้ว การท่องเที่ยวไทยดีขึ้นมาก

คุณพงษ์ภาณุ เปิดเผยด้วยว่า กระทรวงการท่องเที่ยวฯ เตรียมเสนอ ครม. ให้ยกเลิกการต่ออายุมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าให้นักท่องเที่ยว 21 ประเทศ เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวที่ได้รับผลกระทบจาก การปราบทัวร์ศูนย์เหรียญ และ ปัญหาการก่อการร้าย หลังจากที่ใช้มา 6 เดือน เนื่องจาก สถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติแล้ว

ผมเห็นด้วยครับ เห็นประเทศอื่นเก็บค่าวีซ่านักท่องเที่ยวไทยแล้วอิจฉา เช่น อังกฤษ ที่คนไทยนิยมไปเที่ยวกันมาก ค่าวีซ่าท่องเที่ยวสั้นๆก็ตก 5–6 พันบาท ถ้าเป็นวีซ่ายาว 5 ปี ก็ตกหมื่นกว่าบาท ล่าสุดผมเพิ่งไป ออสเตรเลีย ค่าวีซ่าก็ตก คนละ 4 พันกว่าบาท ถือเป็นรายได้เป็นกอบเป็นกำส่วนหนึ่งของการท่องเที่ยวเหมือนกัน

สัปดาห์ก่อน คุณยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย ได้ประชุมผู้บริหารเพื่อวางแผนปฏิบัติการท่องเที่ยวปีหน้า 2561 ตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 3.1 ล้านล้านบาท เติบโต 10% จากปีนี้ที่คาดว่าจะมีรายได้ 2.7 ล้านล้านบาท เป็นรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างประเทศ 2.1 ล้านล้านบาท นักท่องเที่ยวคนไทย 1 ล้านล้านบาท ถือเป็น ครั้งแรกที่รายได้การท่องเที่ยวจากคนไทยในประเทศแตะหลัก 1 ล้านล้านบาท

ส่วน จำนวนนักท่องเที่ยวปี 2561 จะขยายตัวที่ 5% จากยอดนักท่องเที่ยว 34-35 ล้านคนในปีนี้ โดยจะให้ความสำคัญกับ การเติบโตในเชิงรายได้มากกว่าจำนวนคน เพื่อลดผลกระทบจากการใช้ทรัพยากรของนักท่องเที่ยว ที่ผ่านมามีปัญหาไม่สมดุลกับสิ่งแวดล้อม มีขยะจากนักท่องเที่ยวที่ต้องกำจัดกว่า 11,000 ล้านชิ้นต่อปี

...

คุณยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ยุทธศาสตร์การตลาดปี 2561 จะขับเคลื่อนภายใต้แนวคิด Think BIG โดยมีนัย 3 เรื่อง คือ B–Beyond การมองมิติที่มากกว่าตลาด ทะลุไปถึงขีดความสามารถในการรองรับนักท่องเที่ยว I–Impact ปรับตัวชี้วัดการดำเนินงาน โดยเน้นมูลค่าทางเศรษฐกิจที่ชุมชนและภาคธุรกิจจะได้รับ G–Greater Development ยกระดับ ททท. เป็นองค์กรช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ทำตลาดการท่องเที่ยวแบบ “เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา” ตามแนวทางพระราชดำริของ ในหลวงรัชกาลที่ 9

เมื่อสิ้นสุดแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 ในปี 2564 รายได้การท่องเที่ยวไทยจะติดอันดับ 1 ใน 7 ของโลกที่ 4 ล้านล้านบาท โดยจะมี นักท่องเที่ยวต่างชาติ 40 ล้านคน และ การเดินทางในประเทศ 200 ล้านคนครั้ง

ผมเห็นด้วยกับ ผู้ว่าการยุทธศักดิ์ ที่เน้นรายได้จากการท่องเที่ยวเป็นหลัก แทนการเน้นจำนวนคนอย่างที่ผ่านมา โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวแบบทัวร์ศูนย์เหรียญและแบ็กแพ็ก ใช้ทรัพยากรธรรมชาติไทยสิ้นเปลืองมาก และไม่คุ้มค่า

สองวันก่อน สำนักข่าวบลูมเบิร์ก ก็ได้ทำเรื่องการท่องเที่ยวไทยขึ้นหัวตัวใหญ่ว่า ไทยต้องการนักท่องเที่ยวแบบชาวออสเตรเลีย เพราะ นักท่องเที่ยวออสซีติด 1 ใน 10 ชาติ ที่มีการใช้จ่ายในประเทศไทยมากที่สุดเฉลี่ย 5,831 บาทต่อวัน และอยู่นานครั้งละ 14 วัน แต่ อันดับ 1–3 ยังคงเป็นแขกอาหรับ ยูเออี ตามด้วย ซาอุดีอาระเบีย และ คูเวต

การท่องเที่ยว ยังคงเป็น ห่านทองคำ ที่หาเงินสดมาขับเคลื่อนประเทศไทยไปอีกนาน ถ้าเรารักษาทรัพยากรธรรมชาติไว้หากินได้นานที่สุด ที่สำคัญ รัฐบาลต้องใช้เงินอย่างมีคุณภาพ ไม่ใช่ทุ่มเงินเป็นล้านล้านบาทลงทุนไปกับธุรกิจที่ไม่ทำกำไรนานกว่า 50 ปีขึ้นไป อย่างที่กำลังทำกันอยู่ หาเท่าไหร่ก็ไม่พอ.

“ลม เปลี่ยนทิศ”