เริ่มต้นก็ดูดี...ในทางการเมืองพอเริ่มออกตัวก็ดูดีไปทุกพรรคแหละ ถึงขนาดคิดไปไกลว่ามีสิทธิเป็นเบอร์ 1 ก็มี คราวนี้ก็เช่นกันขนาดส่งรายชื่อยังไม่ครบสูตรก็เริ่มคุยโอ่แล้ว จริงๆต้องดูบทสุดท้ายนั่นแหละคือคำตอบ“เพื่อไทย” พอได้แคนดิเดตนายกรัฐมนตรีคนใหม่ก็ดูกระชุ่มกระชวยขึ้นภายใต้ยี่ห้อ “ชินวัตร” เพียงแต่เป็นระดับหลานไม่ใช่ลูก“ยศชนัน วงศ์สวัสดิ์” ลูกชาย “เยาวภา-สมชาย” ที่เปิดตัวด้วยดีกรีนักวิชาการหนุ่มก็พาโชว์ตัวเดินสายทำงานทันทีมีเสียงตอบรับจากโพลเหมาะที่จะเป็นนายกรัฐมนตรีระดับต้นๆเหนือกว่า “อนุทิน ชาญวีรกูล” เสียอีก แพ้เพียงแค่ “ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” เท่านั้นก็คงทำให้ “เพื่อไทย” ดูเด่นขึ้นทันตา!แต่ทุกอย่างต้องดูจากบทสุดท้ายว่าประชาชนจะเลือกใคร“อนุทิน” ที่หมายมั่นปั้นมือว่าจะมาอันดับ 1 เป็นนายกรัฐมนตรีแน่นอนด้อยไปทันที“ประชาชน” นั้นยังคงรักษาความคงเส้นคงวาจากการสำรวจของสำนักโพลมาตลอดว่า “คน” ทั้ง “พรรค” ครอง ความนิยมเบอร์ 1 ไม่เปลี่ยนแปลงแม้จะมีความเห็นในลักษณะที่ว่าคะแนนต่ำเตี้ยลงก็ตามที่เห็นกันอย่างนั้นก็คงเนื่องมาจากผลงานไม่เข้าเป้าแก้รัฐธรรมนูญก็ไม่สำเร็จ อีกทั้งยังทำตัวเป็นศัตรูกับทหารทั้งๆที่เขาชื่นชมกันทั้งประเทศ!ล่าสุดก็คัดเลือกผู้สมัครก็มีปัญหาหลายคนถูกตัดชื่อออกโดยไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนเพียงแต่แจ้งว่าไม่เหมาะสมหลายคนต้องไปหาพรรคอื่นสังกัดหลายคนก็ก่นด่าพรรคแต่อีกหลายพรรคไม่มีปัญหาอย่าง “กล้าธรรม” ก็ไม่มีปัญหามีแต่เปิดประตูรับผู้เข้าร่วมงานด้วยแทบทุกภาคก็ถามว่าพรรคนี้มีอะไรดี!คำตอบสั้นๆง่ายๆคือ เจ้าของพรรคตัวจริง“ใจถึงพึ่งได้” ตอบแค่นี้ก็พอจะรู้แล้วว่าหมายถึงอะไรอีกพรรคที่ได้รับความสนใจไม่น้อยคือ “ประชาธิปัตย์” หลังจากที่ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” เข้ามาเป็นหัวหน้าพรรคอะไรต่อมิอะไรดูดีไปหมดทั้งคนเก่าคนใหม่เหมือนได้ชุบชีวิตทางการเมืองอีกครั้งภาคใต้ที่หมดท่าไปแล้วกลับคึกคักขึ้นมาทันตาเห็นสนามกรุงเทพฯของคนเมืองหลวงก็ไม่เบามีคนรุ่นใหม่แห่มาลงสมัครจำนวนมากด้วยความเชื่อมั่นว่าจะชนะเสียด้วยแน่นอนว่าชื่อเสียงพรรคยังขายได้อยู่ในฐานะพรรคเก่าแก่คนมาบริหารพรรคที่มีโปรไฟล์ไม่ธรรมดาก็ยังขายได้อยู่ว่าไปแล้วพรรคการเมืองนั้นจะไม่ล้มหายตายจากก็เพราะคนในพรรคยึด “อุดมการณ์” ที่แน่วแน่และปฏิบัติให้เป็นจริงได้อย่างพวกที่บอกว่ารักพรรคก็อยู่ไม่ได้ หรืออยู่ได้ก็แค่ชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้นอย่างผู้บริหารชุดที่แล้วเป็นตัวอย่างที่ดี!“สายล่อฟ้า”คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม