ผลกระทบจากค่าเงินบาทแข็งแสดงอาการให้เห็นมาพักใหญ่แล้ว แต่นายกฯอนุทิน ชาญวีรกูล ความรู้สึกช้าไปหน่อย เพิ่งมอบหมาย ให้คุณเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯและ รมว.คลัง กับคุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ รมว.พาณิชย์ ไปหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อหาแนวทางรับมือค่าเงินบาทที่แข็งค่าหนักสุดในรอบเกือบ 30 ปี ไม่ใช่แค่ในรอบ 4 ปี ดูจากดัชนีอัตราแลกเปลี่ยนที่แท้จริง (NEER)ขุนคลังเอกนิติเผยกับสื่อมวลชนว่า ได้หารือถึงสถานการณ์ค่าเงินบาทกับ คุณวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการ ธปท. อย่างใกล้ชิด แต่การบริหารจัดการเรื่องค่าเงินเป็นอำนาจของ ธปท. ซึ่งมีความอิสระในการดำเนินนโยบาย แต่ได้สื่อสารประสานความเข้าใจว่า โครงสร้างเศรษฐกิจไทยยังพึ่งพาการส่งออกเป็นหลัก การที่ค่าเงินมีความผันผวนหรือแข็งค่าเกินไปขนาดนี้ ทำให้เศรษฐกิจไทย “รับไม่ได้”แปลไทยเป็นไทยคือ รมว.คลังรับรู้ปัญหา แต่ปัดว่าไม่สามารถแทรกแซง ธปท. ทำได้แค่พูดกดดันเบาๆพอถูกถามถึงปัญหาเงินบาทแข็งค่าทีไร ธปท.มักตอบตามสูตรว่าเป็นไปตามทิศทางการเงินโลก โดยเฉพาะการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ก็เป็นคำชี้แจงซ้ำๆ เหมือนคิดว่าคนไทยส่วนใหญ่ไม่เข้าใจเศรษฐศาสตร์เบื้องต้นความพยายามเดียวตอนนี้ที่ ธปท.พูดเเละทำคือ เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบธุรกรรมเงินตราต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับทองคำล่วงหน้า ธปท.สื่อสารในทำนองว่ามีเงินเทาเข้ามาซื้อทองแล้วขนทองออกไป เพราะมีเงิน 5 แสนล้านบาทที่ไม่สามารถแจ้งที่มาที่ไปได้ ทั้งที่จริงแล้วเงิน 5 แสนล้านบาทเมื่อเทียบกับขนาดเศรษฐกิจไทย 18 ล้านล้านบาท ถือเป็นอัตราส่วนที่ไม่เยอะ แม้มีผลต่อค่าเงินบ้างแต่ก็ไม่มากที่สำคัญประเทศไทยเป็น net importer ทองคำ เรานำเข้าทองคำมากกว่าส่งออก ทำให้ตามหลักวิชาเศรษฐศาสตร์แล้วจากเรื่องทองคำควรจะส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนลงด้วยซํ้า แสดงว่า ธปท.ตั้งสมมติฐานผิดตั้งแต่แรก ที่พุ่งเป้าว่าการซื้อขายทองคำเป็นสาเหตุหลักทำให้ค่าเงินบาทแข็ง มาตรการที่ออกมาจึงเป็นการแก้ปัญหาที่ปลายเหตุและแก้ไม่ตรงจุดธนาคารกลางของประเทศต่างๆทั่วโลกล้วนจัดการปัญหาค่าเงินด้วย การปรับนโยบายการเงิน ให้เหมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจ ไม่มีธนาคารกลางที่ไหนเริ่มต้นแก้ปัญหาค่าเงินด้วย การไล่ตรวจสอบธุรกรรม มันผิดที่ผิดเวลาธปท.ควรทบทวนตัวเองว่านโยบายการเงินที่ดำเนินมาเหมาะสมหรือไม่ ทำไมถึงดำเนินนโยบายการเงินตึงตัวอย่างมากเป็นเวลานาน มีการดูดเงินออกจากระบบอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ดอกเบี้ยระยะสั้นอยู่ใกล้กับดอกเบี้ยนโยบาย การที่ปริมาณเงินในระบบลดลง เศรษฐกิจจะดีได้อย่างไร สวนทางกับประเทศอื่นทั่วโลกอัตราดอกเบี้ยที่ตั้งไว้ก็สูงเกินไปเมื่อเทียบกับเงินเฟ้อ แม้วันพุธที่แล้ว กนง.มีมติลดดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ลงมาเหลือ 1.25% แต่ก็ยังเป็นเรตที่สูงอยู่ดี (เงินเฟ้อไทยติดลบ 0.5% อัตราดอกเบี้ย 1.25% เท่ากับมีส่วนต่างเท่ากับ 1.75% ส่วนเงินเฟ้อสหรัฐฯ 2.75-3% อัตราดอกเบี้ย 3.75% มีส่วนต่างเท่ากับ 0.75-1% นี่คือสาเหตุที่บาทแข็งกว่าดอลลาร์มาก) กนง.ลดดอกเบี้ยมาเเล้ว 5 ครั้งในรอบนี้ แต่พูดบ่นตลอดว่าไม่อยากลดดอกเบี้ย ทำให้ระบบเศรษฐกิจไม่มีความมั่นใจ ธนาคารหยุดปล่อยกู้ ผลคือชาวบ้านจน เอสเอ็มอีเจ๊ง รากหญ้าตายเรียบผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐฯ ญี่ปุ่น เวลาพูดอะไรตลาดจะตอบรับทันที เพราะมาตรการที่ออกมาได้ผลจริง แต่ผู้ว่าการ ธปท.ที่ผ่านๆมา รวมถึง รมว.คลัง มีบ่อยครั้งที่พูดแล้วตลาดตอบสนองแบบสวนทาง นั่นเป็นเพราะไอเดียที่ประกาศออกมามันไม่เวิร์ก นักลงทุนไม่เชื่อมั่นการสกัดทุนเทาเข้ามาฟอกเงินผ่านทองคำ หุ้น และคริปโตฯ เป็นสิ่งที่ภาครัฐจำเป็นต้องทำ แต่ไม่มีที่ไหนในโลกที่แก้เงินแข็งด้วยการตรวจธุรกรรม มีแต่เริ่มที่นโยบายการเงิน ธปท.ต้องเห็นใจเพื่อนร่วมชาติที่กำลังลำบากจากนโยบายการเงินที่ผิดพลาด เลิกอยู่แต่ในคอมฟอร์ตโซนและโยนหน้าที่ให้เป็นเรื่องของคนอื่นได้แล้ว เหลียวดูประเทศอื่นบ้างว่าเขาจัดการปัญหาอย่างไร จะได้มาแก้ปัญหาถูกจุด.ลมกรดคลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม