การตัดสินใจ “ยุบสภาเร่งด่วน” ของ นายกฯอนุทิน ชาญวีรกูล หนีการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน ท่ามกลางสงครามชายแดนไทย-กัมพูชาที่กำลังดุเดือด และมีมหาอำนาจเข้ามาเกี่ยวข้อง ทำให้เอกชนไทยรู้สึกเคว้งคว้าง ไม่มีรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มบริหารประเทศ เป็นแรงกระแทกที่เพิ่มความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจไทยที่อ่อนแออยู่แล้วให้อ่อนแอลงอีก การยุบสภาของ นายกฯอนุทิน ครั้งนี้ เป็นการเอาตัวรอดคนเดียว แต่เพิ่มความเสี่ยงให้ประเทศ ทั้งความมั่นคงทางเศรษฐกิจและการเมืองคุณเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมฯ เป็นห่วงว่า ข้าราชการจะเกียร์ว่าง เพื่อรอดูว่าใครจะมาเป็นรัฐบาลใหม่ ท่ามกลางปัญหามากมายที่ท้าทายภาคอุตสาหกรรม คุณพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานหอการค้าไทย เรียกร้องให้เร่งจัดการเลือกตั้งโดยเร็ว เพื่อให้มีรัฐบาลใหม่ที่มีอำนาจเต็มโดยเร็ว เพราะกฎหมายสำคัญและกรอบเจรจาการค้าระหว่างประเทศรอการพิจารณาของรัฐบาลและสภา อาทิ การเจรจาภาษีการค้ากับสหรัฐฯ การเจรจาเขตการค้าเสรีกับอียู เป็นต้นผมเห็นด้วยว่า กกต.ควรเร่งจัดการเลือกตั้งให้เร็วที่สุด สุญญากาศทางการเมืองที่เกิดขึ้น กำลังฉุดเครดิตของประเทศ ท่ามกลางความเสี่ยงมากมายที่ไทยกำลังเผชิญอยู่ สงครามการค้า สงครามชายแดนไทย-กัมพูชา ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร มองว่า ความเสี่ยงจากการยุบสภา ไม่ใช่แค่เพิ่มแรงกระแทกต่อเศรษฐกิจไทยในระยะสั้น แต่เพิ่มความไม่แน่นอนที่พุ่งสูงขึ้น ซึ่งจะทำให้ระบบเศรษฐกิจไทยเกิดภาวะชะงักงัน ผมว่าประเด็นนี้เป็นเรื่องที่น่ากลัวและน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง เป็นเรื่องที่พวกนักการเมืองไทยไม่เคยคิดถึงภาพรวมเศรษฐกิจของคนไทยทั้งประเทศ คิดถึงแต่ผลประโยชน์ตัวเองเป็นหลักเมื่อ ความไม่แน่นอนเพิ่มขึ้น ผู้บริโภคมีแนวโน้มชะลอการใช้จ่าย ภาคเอกชน และนักลงทุนไม่กล้าตัดสินใจลงทุนใหม่ เนื่องจากไม่เห็นทิศทางนโยบายที่ชัดเจนประเด็นเหล่านี้ จะส่งผลให้แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจอ่อนแรง แม้จะไม่หดตัวรุนแรงทันที แต่ผลกระทบจะค่อยๆสะสม มีแนวโน้มไปปรากฏตัวในปีถัดไป อีกประเด็นสำคัญคือ สถานะรัฐบาลรักษาการ มีข้อจำกัดในการผลักดันนโยบายและการบริหารจัดการ โดยเฉพาะ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การเบิกจ่ายงบประมาณ จะส่งผลให้ข้าราชการเกียร์ว่าง โครงการต่างๆจะเดินช้าลง และ ความเสี่ยงที่สุดคือความล่าช้าของงบประมาณปี 2570 หากไม่สามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้ตามกรอบเวลา ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อจีดีพีโดยตรงและอาจลากยาวถึงงบประมาณปีถัดไปการยุบสภา ของ นายกฯอนุทิน ครั้งนี้ จึงส่งผลเสียต่อชาติมากกว่าผลดีในขณะที่ ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯ และรัฐมนตรีคลัง แถลงยืนยันว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่รัฐบาลได้เร่งผลักดันออกมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งโครงการคนละครึ่งพลัส การเติมเงินผ่านบัตรสวัสดิการ การแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนมาตรการ Thailand Fast Pass เพื่อสนับสนุนให้เกิดการลงทุน 470,000 ล้านบาท รวมถึงการอนุมัติโครงการลงทุนของบีโอไออีก 160,000 ล้านบาท จะเป็นปัจจัยช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจเติบโตได้ต่อเนื่องตั้งแต่ปีนี้จนถึงปีถัดๆไป เชื่อว่าจะช่วยให้เศรษฐกิจไทยไตรมาส 4/68 ไม่ติดหล่ม สามารถขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 1% และ 2568 ทั้งปีมั่นใจว่า เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 2% การเร่งเลือกตั้ง เร่งมีรัฐบาลใหม่โดยเร็ว จึงเป็นปัจจัยสำคัญอย่างยิ่งผมเปิดดูไทม์ไลน์แล้ว ยุบสภา 12 ธ.ค.68 รัฐธรรมนูญกำหนดให้เลือกตั้งภายใน 45-60 วัน ก็ตกช่วง 25 ม.ค.-9 ก.พ.69 เพื่อไม่ให้เกิดสุญญากาศทางการเมืองนานเกินไป ผมคิดว่า กกต.ควรกำหนดวันเลือกตั้งให้เร็วขึ้นภายใน 45 วัน เพื่อให้มีรัฐบาลใหม่เร็วขึ้น วันอาทิตย์ 11 ม.ค.69 กกต.กำหนดให้เป็น วันเลือกตั้งนายก อบต.สมาชิกสภา อบต.ทั่วประเทศ อยู่แล้ว เมื่อเลือกตั้ง อบต.เสร็จ ผมเสนอให้ กกต.ใช้คูหาเลือกตั้งเดิมจัดการเลือกตั้งทั่วไปต่อทันทีในวันอาทิตย์ที่ 18 ม.ค. หรือ 25 ม.ค. ไม่ต้องรื้อคูหาและทำใหม่ ประหยัดงบประมาณด้วย ผมเชื่อว่าการเลือกตั้งเร็วจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้นทันที ผู้สมัคร สส.ก็พร้อมอยู่แล้ว ถึงเวลาที่ต้อง “ช่วยชาติ” กันทุกองค์กรแล้ว.“ลม เปลี่ยนทิศ”คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม