เกิดความสงสัยและกังวลกันว่า การยุบสภาในระหว่างการทำสงครามกับกัมพูชา จะเกิดผลกระทบ อย่างไรบ้าง โดยเฉพาะจะไปสิ้นสุดวิกฤติประเทศได้อย่างไร และรัฐบาลจะมีอำนาจในการบริหารราชการ แผ่นดินได้แค่ไหนฝ่ายกฎหมายของรัฐบาลพยายามจะออกมาอธิบาย ว่า รัฐบาลรักษาการกับรัฐบาลปกติ ไม่มีความแตกต่างกัน ยกเว้นบางเรื่องที่มีผลผูกพันในอนาคต หรือการใช้จ่าย งบประมาณจะต้องมีการพิจารณาเป็นกรณีไปฝ่ายกฎหมายรัฐบาลก็จะไปหารือ กับ กกต. คตง. คณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อความปลอดภัยของรัฐบาลเอง ตายน้ำตื้นมาเยอะแล้ว ซึ่งในทางปฏิบัติ รัฐบาลรักษาการไม่ควรอนุมัติอะไรที่เกินความจำเป็น โดยเฉพาะงบ ประมาณ หรือโครงการขนาดใหญ่ หรือการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับสูง เพราะจะเป็นการสร้างปัญหา ให้กับรัฐบาลชุดต่อไปในช่วงวิกฤติประเทศ เช่น ในปัจจุบันที่ประเทศไทยอยู่ในช่วงกึ่งวิกฤติสงคราม แล้วเกิดรัฐบาล หรือนายกฯไปตกลง อะไรกับคู่สงคราม คือ กัมพูชา หรือสหรัฐฯ หรือตามที่นายกฯ มาเลเซียแนะนำ เกิดความบกพร่อง ก็จะบกพร่องไปถึงรัฐบาลชุดต่อไปไม่ว่าอนุทินจะกลับมา หรือใครจะขึ้นมาเป็น ผู้นำประเทศคนต่อไป ก็จะกลายเป็นภาระของประเทศอยู่ดีจะว่าประเทศอยู่ในช่วงสุญญากาศของภาวะสงครามก็ไม่ผิดนัก ไม่มีรัฐบาลปกติ ไม่มี สส. มีแต่ สว.ทำหน้าที่แทน สส. แต่เรื่องสำคัญต่อความเป็นตายของประเทศตามหลักสากลและรัฐธรรมนูญจะต้องขออนุมัติจากรัฐสภาให้เรียบร้อยก่อน ไม่เช่นนั้นก็จะเป็นโมฆะ สรุปว่า ในบรรยากาศอย่างนี้ ไม่สมควรปล่อยให้ การเลือกตั้งคาราคาซัง จำเป็นต้องมีรัฐบาลชุดใหม่เข้ามาตัดสินใจปัญหาประเทศเร็วเท่าไหร่ยิ่งดีการยื้อเวลาการเลือกตั้งเท่ากับเป็นการซ้ำเติมวิกฤติประเทศมีนักวิชาการเรียบเรียงความเสียหายจากการยุบสภา ในภาวะสงครามมีผลกับเศรษฐกิจของประเทศมากมายเช่น จะทำให้จีดีพีโตได้แค่ 1.3% ในปีหน้า จะทำให้ภาระ หนี้เพิ่มขึ้น ปัจจัยความเสี่ยงมากขึ้นโดยเฉพาะสงครามภาษีนำเข้าสหรัฐฯจะบานปลายมากกว่าเดิม วางฉากทัศน์ ถ้าตั้งรัฐบาลใหม่ได้ภายใน 1 เดือน เศรษฐกิจจะโตประมาณ 1.5% ถ้า 3 เดือน จีดีพีจะโต 1.2%จะห้ามจั่วหรือห้ามเสา เลือกเอา.หมัดเหล็กmudlek@thairath.co.thคลิกอ่านคอลัมน์ “คาบลูกคาบดอก” เพิ่มเติม