ยุบสภาหนีการถูกตรวจสอบ นายชูศักดิ์ ศิรินิล กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 60 (กมธ.) และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ตั้งข้อสังเกตนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ชิงยุบสภาผู้แทนราษฎรหลังเสียงข้างมากในที่ประชุมรัฐสภาโหวตสนับสนุน กมธ.เสียงข้างน้อย ที่กำหนดให้ สว. 1 ใน 3 เป็นซับเซตในเสียงข้างมากของรัฐสภา ผ่านร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ (รธน.) หัก กมธ.เสียงข้างมาก ที่กำหนดให้เฉพาะเสียงข้างมากเกินกึ่งหนึ่งของรัฐสภาก็เห็นชอบ รธน.ฉบับใหม่ได้แล้วจนเกิดปรากฏการณ์ฉีก MOA พรรคประชาชนเดินเกมล่ารายชื่อ สส. 1 ใน 5 เตรียมยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลทันที และพรรคเพื่อไทยล่ารายชื่อ สส. 1 ใน 5 ครบก่อนหน้านี้เตรียมยื่นญัตติซักฟอกเหมือนกัน เป็นที่มานายกฯยุบสภาทันทีทั้งหมดทั้งมวลเกิดสถานการณ์ดังกล่าว นายชูศักดิ์ เกาะติดปมมาตรา 256/28 ตั้งแต่ในชั้น กมธ. ที่มี กมธ.เสียงข้างน้อยจากปีก สว.สงวนความเห็นอย่างแข็งขันตั้งแต่ไก่โห่ในขณะที่ยังไม่มีการพิจารณาถึงมาตราดังกล่าว โดยเน้นเงื่อนไขจำนวนเสียง สว. 1 ใน 3 ที่ผู้ร่าง รธน. 60 วางเอาไว้ไม่ให้แก้ไข รธน.ได้ง่ายเตรียมนำไปใช้กับร่าง รธน.ฉบับใหม่ สุดท้ายรู้กันดีว่าถ้ามีร่าง รธน.ฉบับใหม่จะลงเอยอย่างไร ที่ผ่านมาชี้ชัดไม่เคยแก้ไข รธน.ได้สำเร็จสักครั้งเดียว ยกเว้นมีปัญหาจากผู้ร่าง รธน. 60 ไปกำหนดให้มีบัตรเลือกตั้งใบเดียว บังคับให้ประชาชนเลือก สส.เขตหรือ สส.บัญชีรายชื่อ ถึงต้องแก้เป็นบัตรเลือกตั้ง 2 ใบฉะนั้นต่อให้ร่าง รธน.ฉบับใหม่เสร็จสมบูรณ์สุดท้าย 67 สว.คือผู้ชี้ชะตาถ้าไม่เห็นด้วยก็จบเมื่อเข้าที่ประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญพิจารณาร่างแก้ไข รธน.ฉบับ กมธ. ในวาระ 2 เป็นรายมาตรา ไม่คิดว่า สส.พรรคภูมิใจไทย (ภท.) เดินไปทิศทางเดียวกับ สว.ส่วนใหญ่“พรรค ภท.ในชั้น กมธ.เห็นตามเสียงข้างมาก ไม่ค้าน ในที่ประชุมวิปรัฐบาลก็ให้ลงมติตาม กมธ.เสียงข้างมาก พอถึงโหวตปมนี้ พรรคร่วมรัฐบาลระดมมาเต็มพิกัดสุดท้ายโหวตให้ กมธ.เสียงข้างน้อย เดินตาม สว. เปลี่ยนแปลงมติ กมธ.เสียงข้างมากและวิปรัฐบาล ชนะกัน 20 เสียง จนเกิดกรณีหักมติเกิดขึ้น”หลังจากนั้นมีคำถามตามมาทั้ง เขาต้องการให้ผ่านวาระ 3 หรือไม่ ต้องการแก้ไข รธน. จริงๆหรือไม่ หรือต้องการเพียงให้เดินตาม MOA ท้ายสุดต้องล้มไป หรือถ้าไม่มีเจตนาล้มแก้ไข รธน. จริงต้องการยุบสภาก่อนหรือไม่ เพื่อหนีการตรวจสอบ ก่อนหน้านี้ก็พูดมาตลอด “ถ้าคุณยื่นญัตติซักฟอก ผมก็ยุบสภา”ขอตั้งสมมติฐานเหมือนร่างพระราชกฤษฎีกายุบสภาเตรียมพร้อมสรรพไว้ตั้งแต่ต้น สามารถยุบสภาได้ทันทีก่อนฝ่ายค้านยื่นญัตติซักฟอก เตรียมการล่วงหน้าถึงอย่างไรก็ต้องยุบสภาการอ้างฝ่ายค้านที่ขอให้ยุบ “ผมจึงยุบ” ไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริง เหตุผลที่แท้จริงต้องการยุบเพื่อหนีการถูกตรวจสอบ บังเอิญฝ่ายค้านอ่อนหัดไปหน่อย ดันไปพูดกลางสภา ทั้งที่ยังไม่จบวาระ 3พรรค ภท.และเสียง สว.ข้างมากโหวตไปทิศทางเดียวกัน สะท้อนให้เห็นว่านายกฯต้องการยุบสภาหนีถูกตรวจสอบหรือไม่ต้องการแก้ไข รธน. นายชูศักดิ์ บอกว่า ความจริงใจแก้ไข รธน.มันพิสูจน์ให้เห็นตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยปมดังกล่าวสามารถผ่านวาระ 2 และไปรอจังหวะในวาระ 3 โดยโหวตไม่ผ่านก็ทำได้ที่สำคัญยังต้องผ่านวาระ 3 ต้องผ่านด่านทำประชามติอีก หลังเลือกตั้งได้โฉมหน้าสภาผู้แทนราษฎรชุดใหม่ เป็นใครก็ยังไม่รู้ แต่ละพรรคมีจำนวน สส.เท่าไหร่ ใครเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก ต้องตั้ง กมธ.ร่าง รธน.ฉบับใหม่ นำเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภา ไม่รู้เหตุการณ์เป็นอย่างไรทั้งหมดชี้ได้ว่าไม่มีความจริงใจ ตกปากรับคำปฏิบัติตาม MOA ไปแบบนั้น เพื่อเข้าสู่อำนาจ เอาการยุบสภามาใช้เพื่อหนีการถูกตรวจสอบโดยไม่สนที่ทำให้ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญตกไปแม้พรรค พท.ที่เป็นหัวหอกแก้ รธน.มาตลอด เพื่อร่าง รธน.ฉบับใหม่ ครั้งนี้เตรียมชูเป็นนโยบายรณรงค์หาเสียงอีกครั้งก็ไม่ผ่านด่าน สว. 1 ใน 3 ดังนั้นในอนาคตมั่นใจแก้ไข รธน.สำเร็จอย่างไร เพราะดูแล้วเจอทางตัน นายชูศักดิ์บอกว่า ไม่มั่นใจ แต่ต้องพยายามโดยชูเป็นนโยบายมาตลอดในฐานะที่เป็นหัวขบวนต่อสู้มาช้านาน ยืนยันผลักดันต่อ แม้มีอุปสรรค ฉะนั้นถ้าพรรค พท.เป็นรัฐบาลเดินหน้าต่อแน่ แต่พอฟังกระแสสังคมผ่านโซเชียลมีเดียเห็นเรื่องนี้ไม่สำคัญ อยากให้แก้ปัญหาปากท้องก่อนก็เตรียมรณรงค์หาเสียงชี้ให้สังคมเห็นถึงความสำคัญ ปัญหาในประเทศส่วนหนึ่งเป็นผลพวงจากกติกาฉบับนี้ ทั้งเสียงข้างมากไม่ได้เป็นรัฐบาล เสียงข้างน้อยได้เป็นรัฐบาล รัฐบาลล้มลุกคลุกคลานรธน.ฉบับใหม่ต้องเป็นประชาธิปไตยเพื่อทำให้ประเทศไทยเดินหน้าไปได้โดยกำหนดหลักมีเกณฑ์ที่ดี ยึดหลักถ่วงดุล ไม่ให้องค์กรใดองค์กรหนึ่งมีอำนาจมากเกินไป ฉะนั้นเมื่อได้รัฐบาลใหม่ สุดท้ายเริ่มนับหนึ่งใหม่ หรือเอาร่างเดิมมาพิจารณาต่อ โดยทบทวนตัดหรือคงไว้ปมร้อน ก็ทำได้ ขึ้นอยู่กับประชุมรัฐสภา โดยเฉพาะ สว.ส่วนใหญ่จะเห็นเป็นอย่างไรแนวโน้ม สว.ส่วนใหญ่มีจุดยืนเดิม ปิดทางแก้ไข รธน.เพื่อร่าง รธน.ฉบับใหม่ ต้องใช้กระแสสังคมกดดันผ่านการทำประชามติ นายชูศักดิ์ บอกว่า แม้ร่างแก้ไข รธน.ตกในวาระ 2 และศาล รธน.เคยวินิจฉัยให้ทำประชามติ 3 ครั้ง โดยครั้งแรกให้ถามประชาชนว่าเห็นสมควรจัดทำร่าง รธน.ฉบับใหม่หรือไม่เมื่อรัฐสภามีมติส่ง ครม.เรียบร้อย เพื่อให้มีมติตั้งคำถามประชามติครั้งแรก สมมติเลือกตั้ง 8 ก.พ. 69 อาจมีคำถามแรกเข้าไปได้ เดิมกำหนดคำถามครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 พร้อมการเลือกตั้ง พอร่างแก้ไข รธน.ตกไป ก็เอาเฉพาะคำถามที่ 1แต่ พ.ร.บ.ประชามติกำหนดเงื่อนเวลาทำประชามติพร้อมเลือกตั้ง ต้องไม่ต่ำกว่า 60 วัน ไม่เกิน 150 วัน นับแต่วันที่นายกฯรับทราบจากรัฐสภา ที่รับทราบตั้งแต่ 12 ธ.ค.ถ้าทำพร้อมเลือกตั้งไม่ครบเงื่อนเวลา ขาดไป 2 วันอาจทำประชามติแยกกับวันเลือกตั้ง หรือเลื่อนวันเลือกตั้งออกไป 2-3 วัน กลายเป็นวันเลือกตั้งในวันธรรมดา กลายเป็นเรื่องใหญ่ ฉะนั้นคณะกรรมการการเลือกตั้งและรัฐบาลต้องไปคิด หากทำประชามติไม่พร้อมวันเลือกตั้งก็สิ้นเปลืองงบประมาณเลือกตั้งครั้งนี้เป็นศึก 3 เส้าระหว่างพรรคประชาชน พรรค พท.และพรรคภูมิใจไทย นายชูศักดิ์ บอกว่า ท่ามกลางสมรภูมิสงครามหาเสียง สิ่งสำคัญเดินหน้าเต็มที่ชูนโยบาย ตัวบุคคลและความจริงใจ เพื่อให้ได้คะแนนเสียงมากที่สุด แต่ไปพูดล่วงหน้าจับมือกับใคร ใครเป็นศัตรู ไปจับมือกับพรรคไหนตั้งรัฐบาล ตอนนี้พูดไม่ได้พรรค พท.เจอสภาวะเลือดไหล พร้อมเลือกตั้งแค่ไหนนายชูศักดิ์ บอกว่า เรามีเลือดไหลออกจริง และมีปัญหานำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรัฐบาล หลังจากนั้นกระแสดีขึ้นเป็นลำดับแต่การเมืองรอบนี้ดูพฤติกรรมก่อนยุบสภา แนวโน้มประเทศตกอยู่ในสภาวะ “Money Politics” หรือ “ธนกิจการเมือง” ทั้งพฤติกรรมย้ายพรรค รู้กันโจ๋งครึ่มข้อตกลงเกิดจากอะไร เมื่อใช้เงินก็เข้ามาถอนทุน ตรงนี้น่ากลัวสุดท้ายประเทศไทยเข้าสู่วงจรอุบาทว์พรรค พท.ขอยืนหยัดชูนโยบายยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางสู้ธนกิจการเมือง ยิ่งตอนนี้กระแสรัฐบาลบริหารประเทศ เกิดวิกฤติระดับประเทศหลายครั้ง ล่าสุดเกิดวิกฤติ รธน. ประชาชนเริ่มรู้สึกว่าพรรค พท.เป็นที่พึ่งของประชาชน กระแสของพรรคดีขึ้นเป็นลำดับ ต่างกับคู่แข่งที่ลดต่ำลงแต่พอถึงวันลงคะแนนขอย้ำห่วงภาพประเทศเกิดธนกิจการเมือง สัญญาณที่อันตรายต่อประเทศ ยิ่งวันนี้ต้องยอมรับมันเป็นความยากลำบากของประเทศ ที่จะเลือกตั้งท่ามกลางสถานการณ์คุกรุ่น เลือกตั้งก่อนกำหนดทำให้การเมืองตกอยู่ในสภาพไม่ปกติขอเตือนสติอย่าให้เดินไปถึงตรงนั้นพิสูจน์มาแล้วไม่เคยนำไปสู่ความสำเร็จ.ทีมการเมืองคลิกอ่านคอลัมน์ “วิเคราะห์การเมือง” เพิ่มเติม