สถานการณ์ไฟสงครามชายแดนไทย-กัมพูชารอบใหม่ ปะทะเดือดต่อเนื่อง ขยายวงจากพื้นที่กองทัพภาคที่ 2 ใน 4 จังหวัดภาคอีสาน ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ สุรินทร์ และอุบลราชธานี มายังพื้นที่กองทัพภาคที่ 1 ภาคตะวันออก สระแก้ว ตราด ทหารทั้ง 2 ฝ่ายเสียชีวิตและบาดเจ็บมากมาย ต้องอพยพประชาชนจากพื้นที่ภัยสงครามอีกนับแสนคนห้วงเวลาที่กองทัพไทยประกาศรบเต็มอัตราศึกในทุกสมรภูมิ ทุกเหล่าทัพทั้งกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และตำรวจ เปิดปฏิบัติการรบเต็มรูปแบบ โจมตีด้วยอาวุธหนักใส่ฐานปฏิบัติการทหาร และแหล่งซุกซ่อนอาวุธของกัมพูชา เพื่อเป้าหมายเดินหน้าปกป้องอธิปไตยประเทศ รักษาผืนแผ่นดินไทยจากผู้รุกรานทั้งผู้นำรัฐบาล นายอนุทิน ชาญ วีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย และผู้นำกองทัพ ต่างมีแนวคิดและจุดยืนไปในทางเดียวกัน สนับสนุนการใช้กำลังตอบโต้กัมพูชาอย่างเด็ดขาด และมีท่าทีแข็งกร้าวไม่ยอมรับการเปิดเวทีเจรจาจากฝ่ายใดทั้งสิ้น ต้องการให้กัมพูชาสิ้นสภาพทางทหาร เพื่อความปลอดภัยของประชาชนแต่มีเสียงท้วงติงจากนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้าน หัวหน้าพรรคประชาชน มองว่า ท่าทีเด็ดขาดของนายกฯที่ปิดโต๊ะเจรจาข้อขัดแย้งไฟสงคราม อาจทำให้นานาชาติมองภาพลักษณ์ประเทศไทยในฐานะผู้รุกราน การปิดเจรจาทุกช่องทาง โดยที่ไม่รู้จุดจบจะไปสิ้นสุดที่ไหน ทำให้ไม่สามารถหาทางออกของปัญหาได้นายณัฐพงษ์ชี้ว่ารัฐบาลไม่ควรพุ่งเป้าไปที่การตอบโต้ทางทหารเพียงอย่างเดียว ควรใช้มาตรการทหารควบคู่ไปกับการทูต โดยเฉพาะการทลายเครือข่ายแก๊งสแกมเมอร์ที่เป็นแหล่งรายได้สำคัญของระบอบฮุน เซน กดดันให้เข้าสู่โต๊ะเจรจา ไม่ควรตีเช็คเปล่าให้ฝ่ายความมั่นคงทำได้ทุกเรื่อง เพราะไม่มีการรบใดที่ไม่จบที่การเจรจาขณะที่นายสีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รมว.ต่างประเทศ เห็นแย้งว่า ความขัดแย้งที่เกิดขึ้น ประเทศไทยไม่ได้เป็นผู้ก่อ ปัญหาคือจะให้เจรจาเรื่องใด ถ้ากัมพูชายังไม่พร้อม เจรจาก็จะกลับไปสู่เรื่องเดิม คือตกลงกันแล้ว แต่ไม่ปฏิบัติตามข้อตกลง จึงมีความจำเป็นที่ไทยต้องดำเนินการทางทหารไปจนถึงจุดที่กัมพูชาพร้อมเจรจาจริงๆการแสดงความเห็นแตกต่างกันทางการเมือง อาจถูกมองเป็นความขัดแย้ง แต่ขอให้ความเห็นต่างทางยุทธศาสตร์เหล่านี้ คือข้อถกเถียงเพื่อหาทางออกที่ดีที่สุดของประเทศในยามเผชิญวิกฤติความมั่นคง เพราะเป้าหมายสูงสุดที่ทุกฝ่ายเห็นตรงกัน คือการรักษาอธิปไตยและผลประโยชน์ประเทศ แตกต่างได้แต่ต้องไม่แตกแยก.