เมื่อต้นสัปดาห์นี้เองนักเศรษฐศาสตร์ที่ได้รับการยอมรับอีกท่านหนึ่งในแวดวงการพยากรณ์ภาวะเศรษฐกิจได้เปิดเผยตัวเลขความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไทยทั้งในปีนี้ (2568) ที่มาถึงเดือนสุดท้ายแล้วและมองออกไปปีหน้า (2569) ด้วยความห่วงใยอย่างยิ่ง สมควรที่จะนำมาบันทึกไว้กรรมการผู้จัดการ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของกลุ่ม ธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร หรือ KKP ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ที่ผมเชื่อว่าท่านผู้อ่านคงจะคุ้นชื่อเป็นอย่างดีแล้วนั่นเองดร.พิพัฒน์มองว่าปีนี้ (2568) จีดีพี ไทยน่าจะเติบโตได้ 2 เปอร์เซ็นต์เป็นอย่างมาก โดยพิจารณาถึงความสูญเสียจากภาวะน้ำท่วมใหญ่ในภาคใต้ไว้ด้วยแล้ว ในขณะที่ปัญหาการปะทะรอบ 2 ระหว่างทหารไทย-กัมพูชา ท่านมองว่าไม่น่าจะเกิดผลกระทบเพิ่มขึ้น เพราะได้เกิดอย่างต่อเนื่องมาจากการปิดชายแดนอันเป็นผลมาจากการปะทะครั้งแรก ซึ่งมีการคำนวณผลเสียไว้แล้วเช่นกันที่น่าเป็นห่วงมากกว่าคือ ปีหน้า (2569) เพราะจากตัวเลขที่ท่านประมาณการไว้ จีดีพีทั้งปีของปีหน้าจะเติบโตเพียง 1.6-1.8 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ต่ำกว่าร้อยละ 2 ของปีนี้ด้วยซ้ำไปเหตุผลหลักของหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์กลุ่ม KKP ก็คล้ายๆ กับที่นักวิเคราะห์อีกหลายๆท่านเคยแสดงความห่วงใยไว้...ได้แก่ เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลักอย่าง ท่องเที่ยว และ การส่งออก อ่อนแอลงมาก ซึ่งเรายังหาเครื่องจักรใหม่ๆมาขับเคลื่อนแทนไม่ได้เลยประกอบกับโครงสร้างประชากรของประเทศไทยที่เข้าสู่สังคมสูงวัยจะก่อให้เกิดผลกระทบต่อภาค การบริโภค โดยเฉพาะสินค้าคงทนเช่นบ้านและรถยนต์ ฯลฯ ที่จะชะลอตัวลงดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย ซึ่งมองตัวเลขของประเทศอาเซียนอื่นๆควบคู่ไปด้วย โดยเฉพาะประเทศคู่แข่งต่างๆ ปรากฏว่า อัตราเติบโตของเราต่ำสุด...ท่านจึงฝากความกังวลไว้ว่าเราอาจจะโดนประเทศอื่นๆแซง หากไม่ทำอะไรกันเลยดังนั้น ในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจตั้งแต่ปีหน้าเป็นต้นไป จึงไม่ใช่เรื่องกระตุ้นระยะสั้นเท่านั้นแต่จะต้องมีนโยบายเชิงโครงสร้างในระยะยาวที่สำคัญมากกว่า ซึ่งปีหน้าจะมีการเลือกตั้ง ท่านจึงหวังให้ผู้ที่จะมาเป็นรัฐบาลได้คำนึงถึงการแก้ปัญหาในระยะยาว โดยกำหนดให้เป็นนโยบายที่เป็นรูปธรรมมากกว่านโยบายกระตุ้นระยะสั้นด้วยการแจกเงินน่าเสียดายที่ผมไม่มีโอกาสได้ฟังหรือได้อ่านถ้อยแถลงที่เป็นรายละเอียดทั้งหมด ซึ่งผมเชื่อว่าน่าจะมีข้อเสนอแนะในการลงทุนเพื่อแก้ปัญหาระยะยาว หรือการปรับโครงสร้างประเทศไทยในหลายๆประเด็นก็หวังว่าหน่วยงานหลักของภาครัฐโดยเฉพาะ สภาพัฒน์ ซึ่งมีหน้าที่ในการจัดทำแผนพัฒนาประเทศ ทั้งในระยะปานกลาง และระยะยาว จะได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและข้อมูลกับทีมของ KKP เพื่อนำมาใช้ในการกำหนดนโยบายของประเทศต่อไปอย่าลืมว่า สภาพัฒน์ ก็เป็นหน่วยงานหลักของรัฐอีกหน่วยหนึ่งที่มองว่าเศรษฐกิจไทยปีนี้จะโตไม่เกินร้อยละ 2 และคาดว่าปีหน้า 2569 จะโตระหว่างร้อยละ 1.2-2.2 หรือมีค่ากลางร้อยละ 1.7 เท่านั้นจนมีข่าวว่าทาง กระทรวงการคลัง ซึ่งมั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยจะโตมากกว่านี้ จะไปขอปรึกษาหารือถึงเหตุผลต่างๆของสภาพัฒน์ไม่ทราบว่าผลการหารือเป็นอย่างไรบ้าง?อย่างไรก็ตาม ดูจากนโยบายล่าสุดของรัฐบาลนายกฯ อนุทิน ชาญวีรกูล ซึ่งมี ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ เป็นรองนายกฯ และ รมต.คลัง จะเห็นได้ชัดเจนว่าในเร็วๆนี้จะมีการ “กระตุ้นเศรษฐกิจ” อีกรอบ โดยเฉพาะโครงการคนละครึ่งพลัสเฟส 2ผมเองโดยส่วนตัวเห็นด้วยกับ ดร.พิพัฒน์ที่ว่าควรยุติการกระตุ้นใดๆได้แล้ว สำหรับรัฐบาลใหม่ที่จะมาต้นปีหน้า โดยหันมาเน้นการลงทุนเพื่อปรับโครงสร้างสู่ระยะยาวให้มากที่สุดแต่สำหรับเหตุการณ์เฉพาะหน้าผมก็เห็นด้วยที่จะมีการกระตุ้นคนละครึ่งเฟส 2 อีกครั้งแล้วก็พอเพียงแค่นี้...หากคุณอนุทินจะได้กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกครั้งด้วย วาสนาบารมีหรือด้วยเหตุผลอื่นใดก็ตาม ผมอยากให้พอครับ...เราไม่ควรจะแจกหรือกระตุ้นอะไรมากไปกว่านี้อีกแล้วครับ...ซตพ.!“ซูม”คลิกอ่านคอลัมน์ “เหะหะพาที” เพิ่มเติม