จากสถานการณ์อุทกภัยใหญ่ในภาคใต้ โดยเฉพาะในพื้นที่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา มีหลายเรื่องที่รัฐบาลต้องเร่งแก้ไขปัญหา ทั้งเฉพาะหน้าคือการช่วยเหลือ อพยพประชาชนออกนอกพื้นที่เสี่ยงอันตราย และติดตามดูแล ฟื้นฟูเยียวยาผลกระทบต่อไป นอกจากนี้ในระยะยาวคือการศึกษาบทเรียนจากเหตุการณ์น้ำท่วมครั้งนี้เพราะจากข้อมูล แน่นอนว่าเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ครั้งนี้ เป็นเรื่องของภัยธรรมชาติ ฝนตกหนักจากสภาพภูมิอากาศแปรปรวน และเกิดปรากฏการณ์ระเบิดฝน “เรนบอมบ์” ในพื้นที่น้ำท่วมหนักอย่างที่เมืองหาดใหญ่ นอกจากเป็นแอ่งกระทะรับน้ำ เป็นเขตเศรษฐกิจ ชุมชนเมืองใหญ่ ระบบการระบายน้ำไม่เพียงพอรับสถานการณ์แต่ปรากฏการณ์ธรรมชาติที่นำมาสู่ภัยพิบัติระดับวิปโยคครั้งนี้ สามารถบริหารจัดการได้ อย่างน้อยก็ควรผ่อนหนักให้เป็นเบา เช่น การเตรียมความพร้อมรับมือ เนื่องจากการคาดการณ์ปริมาณน้ำฝน มีมาล่วงหน้า เพียงพอที่หน่วยงานต่างๆจะเฝ้าระวัง เตรียมการอพยพประชาชน หาทางบรรเทาผลกระทบไว้ล่วงหน้าได้นอกจากนี้ การแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าให้ประชาชนผ่านข้อความสั้น (เซลล์บรอดคาสต์) แม้ถูกนำมาใช้แจ้งเตือนล่วงหน้า แต่ชุดข้อมูลไม่ครอบคลุม ที่สำคัญคือไม่มีข้อแนะนำประชาชนในการรับมือเหตุการณ์ แนวทางปฏิบัติเบื้องต้นเมื่อเผชิญสถานการณ์ ทั้งกรณีการอพยพ ไฟฟ้าดับ น้ำไม่ไหล ระบบสื่อสาร อินเตอร์เน็ตล่มที่สำคัญคือปัญหาระบบโครงสร้าง และกลไกทำงานของภาครัฐในภาวะวิกฤติเร่งด่วน ที่นายกฯมอบหมายให้คณะกรรมการ อำนวยการและบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติทางธรรมชาติ (ศนภ.) ที่มี ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกฯ และ รมว.เกษตรฯ เป็น ผอ.ศูนย์ฯลงพื้นที่ไปบูรณาการหน่วยงานแก้ปัญหาเร่งด่วนในทุกมิติตรงนี้ถือเป็นกลไกบริหารภาวะวิกฤติ ส่งตรงจากศูนย์อำนาจ ถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ที่สำคัญมากกว่าคือการบริหารจัดการ หน้างาน โดยก่อนหน้านี้ที่มีปัญหาน้ำท่วมภาคเหนือและภาคกลาง จะมี “ศูนย์บริหารจัดการน้ำส่วนหน้า” สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) และมีกลไกศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ ร่วมในการบริหารจัดการแน่นอน การที่รัฐบาลรวมศูนย์ก็เพื่อให้การทำงานเป็นเอกภาพ ลดความซ้ำซ้อน แก้ปัญหาได้ทันที แต่เมื่อเป็นกลไกที่ตั้งขึ้นเฉพาะกิจ ในอนาคตหากเกิดวิกฤติอุทกภัยปัญหาต่างๆก็จะวนกลับมา ฉะนั้นรัฐบาลควรจัดวางโครงสร้างและใช้บริหารจัดการสถานการณ์น้ำในพื้นที่ของ ประเทศให้เป็นหลัก และมีภารกิจหน้าที่ชัดเจน.คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม