ไม่ใช่ยุติบังคับใช้ปฏิญญาสันติภาพไทย—กัมพูชาศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข นักวิชาการด้านความมั่นคง และยุทธศาสตร์การทหาร เป็นอีกบุคคลหนึ่งที่มีเลือดรักชาติ พลิกมุมมองต่างกับรัฐบาล และนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ที่สั่งระงับปฏิญญาสันติภาพดังกล่าวที่ไทยตกลงกับกัมพูชา ที่กัวลาลัมเปอร์ มาเลเซียในวันนั้นทุกฝ่ายในสังคมไทยขานรับ เชื่อมั่นข้อตกลงนี้ไทยได้เปรียบ ตามเงื่อนไข ทั้ง 1.ถอนอาวุธหนักออกจากแนวชายแดน 2.เก็บกู้วัตถุระเบิด 3.ร่วมมือปราบปรามอาชญากรรมสแกมเมอร์หรืออาชญากรรมทางเทคโนโลยี และ 4.หาแนวทางบริหารพื้นที่ทับซ้อนร่วมกันไม่ให้เกิดปัญหา ปูทางเกิดสันติภาพกระชับสัมพันธ์สองประเทศไทยได้เปรียบแล้วทำไมยุติภาวะบังคับใช้ โดยนัยการต่อสู้ในเวทีระหว่างประเทศ ไทยควรมีความได้เปรียบเอาไว้ต่อไป แต่เมื่อเลิกหรือยุติบังคับใช้ เท่ากับไทยถอยออกจากความได้เปรียบ ไม่มีอะไรเป็นข้อตกลงที่คุมกัมพูชาในแบบที่ไทยคาดหวังทั้งหมดถอยกลับไปก่อน 28 ก.ค. 68 เกิดเปิดฉากเจรจา อยู่ในภาวะที่มีความขัดแย้ง โดยไม่มีมาตรการในเชิงข้อตกลงที่ใช้ควบคุมพฤติกรรมกัมพูชา เป็นความล่อแหลมและเปิดทางเลือกใช้มาตรการทางทหาร ปรากฏตามถ้อยคำกองทัพบกโพสต์เปิดช่องให้ใช้กำลังและพ่วงคำว่า “กฎการปะทะ” ที่มีความหมายกำกวมมากๆยิ่งนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย ที่มอบหมายงานให้กองทัพไปคิด ส่งสัญญาณรัฐบาลพร้อมปฏิบัติตามหรือรับตามที่ทหารคิดแล้วนำไปปฏิบัติรัฐบาลนายอนุทินตีเช็คเปล่าให้ฝ่ายทหารในสภาวะการตีเช็คเปล่านโยบายต่างประเทศมันค่อนข้างล่อแหลม เนื่องจากไม่ใช่เป็นความขัดแย้ง 2 ฝ่ายระหว่างไทยกับกัมพูชา มันมีตัวละครเข้ามาเกี่ยวข้อง มีคนกลางคือมาเลเซีย มีผู้สังเกตการณ์ระดับชาติมหาอำนาจสหรัฐอเมริกาและจีนขอให้สังคมไทย ฝ่ายความมั่นคงไทย รัฐบาลไทย ควรคิดว่าเกมทั้งหมดไม่ใช่มีแค่ 2 ฝ่ายอีกต่อไปและมันเป็นมานานแล้ว“ผมอาจมีความเห็นแย้ง เชื่อการยกเลิกปฏิญญา เปิดช่องให้ไทยอาจกลายเป็นเสียเปรียบ แม้หลายฝ่ายในกระแสชาตินิยมหรือเสนานิยม อาจเชื่อว่าการเปิดช่องให้ไทยทำอะไรก็ได้ ขอติงว่าในเวทีระหว่างประเทศ คำว่าไทยทำอะไรก็ได้มันไม่ง่ายอย่างที่คิด เนื่องจากมีประเทศอื่นเข้ามา โดยเฉพาะในบริบทภูมิรัฐศาสตร์ ทั้งสหรัฐฯและจีนไม่ได้ต้องการเห็นไทยและกัมพูชาทะเลาะกัน ไม่อยากให้เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ระอุมากกว่าที่เป็นอยู่ อีกด้านหนึ่งปัญหาในเมียนมาก็ยังไม่จบ” ทีมการเมือง ถามว่า นโยบายต่างประเทศที่รัฐบาลแถลงต่อรัฐสภาหนึ่งในนั้นต้องเร่งแก้ไขปัญหากรณีพิพาทไทย-กัมพูชา ตามแนวสันติภาพโดยเร็ว พร้อมรักษาอธิปไตย-เขตแดนไทยโดยชอบตามเส้นเขตแดนสากล ดำเนินการยุติความขัดแย้งผ่านกลไกการเจรจาทางการทูต ทำประชามติยกเลิกเอ็มโอยู 43-44รัฐบาลดำเนินนโยบายต่างประเทศเชิงรุกทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก รวมถึงสร้างความมั่นใจและสถานะของไทยในเวทีระหว่างประเทศ แต่เมื่อรัฐบาลเดินตามกระแสชาตินิยม ตีเช็คเปล่าให้ทหาร จะนำประเทศไปสู่อะไรได้บ้างศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บอกว่า สมมติมองจากสัญญาณผ่านบทบาทการสัมภาษณ์หลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ออกมาเชียร์ให้ใช้กำลังอย่างจำกัด ทำลายเป้าหมายจำกัดคำถามคือใช้กำลังแค่ไหน ถ้าฝ่ายตรงข้ามตอบโต้ และไทยตอบโต้กลับไป เมื่อสถานการณ์สงครามเกิดขึ้น กระสุนนัดแรกยิงออกไป ต้องคิดเสมอว่าอาจนำไปสู่สถานการณ์ที่ควบคุมไม่ได้ ลองให้ถอยกลับไปดูสงครามโลกครั้งที่ 1ครั้งที่ 2 ไม่ได้ต่างกันรับรองสงครามขยายตัว ไม่เป็นสงครามจำกัดตามที่พูด“สมมติสงครามขยายตัวแล้วคุมไม่ได้คราวนี้ภายนอกเข้ามาแทรกแซงเต็มๆ กระทบต่อไทยแน่ และสุดท้ายกัมพูชาพลิกไปเล่นเกมเดิม จูงมือไทยไปศาลโลก ขอเตือนเลยนะไปศาลโลกแน่ๆปี 05 ปัญหาปราสาทพระวิหารก็ไป ปี 51 ปลุกม็อบ ปี 54 รบที่ปราสาทพระวิหารรอบที่ 2 ปี 56 จบที่ศาลโลก แต่รัฐบาล 2 ประเทศยังไม่ได้ดำเนินการตามมติศาลโลกวันนี้จุดปะทะกำลังเป็นปัญหาใหญ่ กลายเป็นปัญหาปราสาทพระวิหาร เพียงแต่จุดพิกัดคือห้วยตามาเรีย ประวัติศาสตร์ปี 05—56—68 ย่ำอยู่พื้นที่เดิมหมด คือ ตัวปราสาทพระวิหาร”รัฐบาลต้องกำหนดนโยบายต่างประเทศเอง แต่เมื่อมีนโยบายแล้วก็ไม่ได้เดินตาม ปรากฏการณ์นี้เป็นอันตรายต่อประเทศอย่างไร ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บอกว่า รอบนี้เห็นอาการซ้ำรอยรัฐบาลที่แล้ว เป็นไปได้หรือไม่ ที่รัฐบาลมีชุดความคิดในฐานะฝ่ายการเมือง โดยแยกสถานะความเป็นฝ่ายการเมืองทำนโยบาย กับฝ่ายปฏิบัติที่เป็นผู้รับนโยบายขอฝากเตือนนายกฯและรัฐบาลอย่าลดสถานะตัวไปเป็นฝ่ายปฏิบัติ เพียงแค่บอกให้สภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ไปคิดแล้วรัฐบาลรับมาเป็นฝ่ายปฏิบัติ เท่ากับกำลังคิดนโยบายต่างประเทศแบบกลับหัวกลับหางส่วนเป็นอันตรายต่อประเทศหรือไม่ ไม่แน่ใจรัฐบาลคิดอย่างไร โดยในทางการเมืองต้องตอบให้ได้ว่า วัตถุประสงค์การใช้กำลังของฝ่ายไทยหรือรัฐบาลไทยคืออะไร ถามว่ารบชนะไหม ชนะปี 54 รบชนะแต่ก็ไปขึ้นศาลโลกปี 56 ตกลงไทยแพ้หรือชนะ“ข้อเสนอทั้งหมดพูดแบบคนไทยที่รักชาติ ในมิติที่ไทยเผชิญ อย่าเชียร์ด้วยกระแสรักชาติจนพาชาติไปติดกับดัก เมื่อไหร่กระแสชาตินิยมเชียร์จนไทยไปติดกับดัก เสียเปรียบฝ่ายตรงข้ามหรือง่ายสุดรบชนะกลับมาคุยกันใหม่ ถูกบังคับให้ไปเจรจาที่กัวลาลัมเปอร์ ได้ข้อตกลง 4 ข้อเดิม อาจมีคำขยายความเพิ่มบางข้อ เช่น กัมพูชาต้องทำตามอย่างเคร่งครัดผมจึงอยากถามว่าใครเชียร์นายกฯไปยกเลิก หรือเกิดสภาวะกระแสชาตินิยมนำการเมือง—ทหาร โดยมีกระแสเดินนำหน้าในเชิงนโยบายไปก่อน แล้วบีบให้ตัวคนทำนโยบายเดินตามกรอบนี้”ขอรัฐบาลอย่าเล่น อย่าเดินตามกระแสที่วูบวาบกระแสกำหนดผลประโยชน์แห่งชาติของไทยไม่ได้ ย้ำอีกครั้งถ้าเอานโยบายต่างประเทศไปปั่นกระแสหมด ไทยจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบ อยากเสนอเตือนสติสังคมด้วยเหมือนกัน เพราะนโยบายต่างประเทศ ไม่ใช่กระบวนการการเมืองภายใน ต้องไม่คิดแบบคนภายในบ้านอย่าลืมโลกไม่เคยตามใจเรา หลายปีที่ผ่านมาสังคมไทยมีอาการงอนกับโลก รู้สึกโลกไม่สนใจไทย หลังรัฐประหารปี 57 เราทำตัวเป็นเด็กอินโทรเวิร์ตอยู่ในบ้าน พอปลาย คสช.เราเป็นเด็กแว้น มีปัญหากับอาเซียน หลังพาผู้นำทหารเมียนมาไปที่เวทีพัทยาพอปี 66 นายกฯเศรษฐา ทวีสิน เรากลับไปเป็นเด็กตั้งไข่ ถึงยุคนายกฯแพทองธาร ชินวัตร กลายเป็นเด็กหลงทาง เจอลุงหลอกซ้ำมึนงงจนออกจากเวที ถึงยุคนายกฯอนุทินกลับมาเป็นเด็กที่พยายามเดินใหม่ออกไปผจญภัย พอเจอปัญหาเรากลับมาติดอยู่กับกระแสในบ้านไทยกล้าเดินตามนโยบายต่างประเทศแบบที่ควรจะเป็น หรือคิดดำเนินนโยบายต่างประเทศตามกระแส ตรงนี้เข้าใจได้ เพราะในทางการเมืองทุกพรรคกำลังปั่นกระแส เตรียมเลือกตั้ง บางพรรคปั่นหนักเก็บคะแนน เพราะกระแสตกเห็นได้จากนิด้าโพลกลางปี 68 ภาพรวมตก 76% ระหว่างสิ้นหวังมากกับสิ้นหวัง วันนี้คนที่ยังไม่ตัดสินใจราว 40% มวลน้ำแห่งความนิยมตรงนี้จะไหลไปพรรคไหน นโยบายต่างประเทศที่เปรียบเหมือนนโยบายชุดแสงสีเสียงก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของการปั่นเชื่อว่านโยบายต่างประเทศจะตั้งหลักได้จนกว่ามีรัฐบาลใหม่หลังเลือกตั้ง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นวันนี้เป็นพันธนาการประเทศไทยอยู่ ที่พัฒนาการจาก “โลกล้มรัฐไทย” เป็นภาวะ “โลกรัดรัฐไทย” ทั้งหมดไม่ได้เรียกร้องให้ไทยไม่สู้กับกัมพูชา แต่เรียกร้องให้สู้ด้วยมาตรการที่ฉลาดมากกว่าที่เป็นอยู่ถ้านโยบายต่างประเทศทำอย่างไม่มีสติ มันนำไปสู่ความเสียเปรียบสุดท้ายเป็นฝ่ายแพ้ในเวทีระหว่างประเทศ แม้คู่ต่อสู้อ่อนแอกว่าไทย.ทีมการเมืองคลิกอ่านคอลัมน์ “วิเคราะห์การเมือง” เพิ่มเติม