เพื่อไทย-ภูมิใจไทย สาดน้ำลายเดือดส่งท้ายแถลงนโยบาย รัฐบาล “จิราพร” หวด ภท.ขี่ดีลพิสดารตั้งรัฐบาลตรงลมปาก “ฮุน เซน” ท้านายกฯ ชวน สว.ลงสัตยาบันแก้ รธน. “อนุทิน” สวนไม่รู้จัก ไม่มีอังเคิล สาวไส้ดราม่า “แพทองธาร” ยึดเก้าอี้กระทรวง มท.ต้นเหตุแยกวง โต้เอ็มโอเอเซ็นเปิดเผย ไม่ได้แอบทำ ไม่มีผลผูกพันทั้งรัฐบาล โวยวางยา ชี้ทางไปนรกล็อบบี้ สว.แก้ รธน. “ก่อแก้ว” ซัด ครม.อนุวิน กินรวบประเทศ เหน็บไม่ตั้งกระทรวงบุรีรัมย์ไปเลย “ไชยชนก” สวนกลับรัฐบาล “ทักเซน” ปูดยังไม่ทันเริ่มงานมีคนเสนอ 40 ล้านไม่ให้จับแก๊งคอลฯ ไม่รู้ รมว.ดีอีคนก่อนเป็นอย่างไร “โรม” ฉายสัมพันธ์ “เบนสมิธ-ทักษิณ-ธรรมนัส” โยง 2 ตระกูลขัดผลประโยชน์ต้นตอสงครามไทย-กัมพูชา “วิโรจน์” แฉทุนเทาอ้างชื่อ รมช.คลังเป็นกุนซือจ้องฮุบบางจาก จี้นายกฯสกัดเงินดำรุกรานความมั่นคงของชาติการอภิปรายในการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภาในวันที่สอง พรรคเพื่อไทย (พท.) พุ่งเป้าโจมตีการตั้งรัฐบาลด้วยดีลพิสดาร และปัญหาคุณสมบัติของรัฐมนตรี ขณะที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย รวมทั้งรัฐมนตรี ต่างใช้วิวาทะตอบโต้กลับอย่างดุเดือดพท.จับผิด ภท.ตั้ง รบ.ตรงผู้นำกัมพูชาเมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 30 ก.ย. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาการแถลงนโยบาย ครม.ต่อที่ประชุมรัฐสภา ต่อเนื่องเป็นวันที่สอง มีนายมงคล สุระสัจจะ รองประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม โดย น.ส.จิราพร สินธุไพร สส.ร้อยเอ็ด พรรคเพื่อไทย (พท.) อภิปรายว่า รัฐบาลนายอนุทินเกิดท่ามกลางสถานการณ์ผิดปกติ จัดตั้งด้วยวิธีพิสดาร หลังจากพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ถอนตัวการร่วมรัฐบาลวันที่ 18 มิ.ย. ช่วงชายแดนไทย-กัมพูชาตึงเครียด ไม่น่าเชื่อไทยมีรัฐบาลใหม่ใน 3 เดือน ตามที่ผู้นำประเทศเพื่อนบ้านประกาศ น่าอัศจรรย์ความเคลื่อนไหวผู้นำประเทศเพื่อนบ้านสอดคล้องการตั้งรัฐบาลไทยอย่างน่าเหลือเชื่อ ระหว่างเปลี่ยนรัฐบาลถึงวันตั้งรัฐบาล มีข่าวลือลึกลับการจัดตั้งรัฐบาลมากมาย แกนนำพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคยังบอกว่า พูดไม่ได้ หลายคนสงสัยเอ็มโอเอรัฐบาลเสียงข้างน้อยอาจเป็นข้อตกลงฉากหน้า แต่ฉากหลังมีข้อตกลงที่ไม่ได้ระบุในเอ็มโอเอหรือไม่ท้านายกฯชวน สว.ลงสัตยาบันแก้ รธน.น.ส.จิราพรกล่าวว่า พรรค ภท.จัดตั้งรัฐบาลได้ ก็เริ่มแสดงอิทธิฤทธิ์ทำลายเอ็มโอเอ เร่งเครื่องเพิ่มจำนวน สส. เข้าใกล้เสียงข้างมาก ไม่เกรงใจผู้นำฝ่ายค้าน สิ่งที่ประชาชนอยากฟังคือคดีต่างๆ คดีฮั้ว สว. คดีเขากระโดงที่นายกฯเป็นผู้ต้องหาของ กกต.และดีเอสไอ แต่นายกฯยืนยันถูกกลั่นแกล้ง หากใครทำคดีฮั้ว สว. คดีเขากระโดง เท่ากับกลั่นแกล้งนายกฯหรือไม่ ทำให้ข้าราชการนั่งตัวแข็งไม่กล้าทำ นายกฯกล้ายืนยันหรือไม่จะไม่โยกย้ายข้าราชการที่ทำคดีเหล่านี้ ส่วนการแก้รัฐธรรมนูญถูกพูดในนโยบายรัฐบาลแค่ 3 บรรทัด ขอให้นายกฯลุกขึ้นมาชวน สว. กลางสภามาร่วมแก้รัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย เปิดทางทำประชามติ ควรทำสัตยาบันระหว่างนายกฯ ผู้นำฝ่ายค้าน และ สว.ว่าจะแก้รัฐธรรมนูญ นำไปสู่การทำประชามติและยุบสภา เอ็มโอเอฉบับนี้ทำให้เกิดรัฐบาลที่มีกลุ่มอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด มีอำนาจเป็นรองแค่รัฐบาลรัฐประหาร ขาดอย่างเดียวคือมาตรา 44 ที่เหลือมีครบ เท่ากับอนาคต แม้เปลี่ยนรัฐบาล แต่ประเทศไทยยังอยู่กับระบอบสีน้ำเงินอีกนับ 10 ปี ชุบชีวิตพรรคสีน้ำเงิน และฝ่ายอนุรักษ์นิยมให้มีอาวุธครบมือ คืนชีพฝ่ายอนุรักษ์นิยม รัฐบาลไม่ได้อยากอยู่แค่ 4 เดือน แต่มีเป้าหมายวางแผนอยู่ต่ออีก 4 ปี“อนุทิน” โต้ไม่รู้จัก “ฮุน เซน” ไม่มีอังเคิลนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ และ รมว.มหาดไทย ลุกขึ้นชี้แจงทันทีว่า น.ส.จิราพรใช้วาทกรรมให้เห็นว่าตนกับผู้นำกัมพูชาน่าจะรู้อะไรกัน ยืนยันไม่รู้จักผู้นำกัมพูชา เพิ่งเคยพบสมเด็จฮุน เซน ครั้งแรกเป็นทางการ ตอนติดตาม น.ส.แพทองธาร ชินวัตร อดีตนายกฯไปเยือนกัมพูชาเดือน เม.ย.68 ไม่มีความสัมพันธ์ส่วนตัว ไม่เคยมีเบื้องหลังตกลงอะไรกันมาก่อน เต็มที่มีแค่เพื่อนรู้จักกันที่กัมพูชา ไม่มีลุง ไม่มีอังเคิล มีแต่เพื่อน ยังตกใจเมื่อกลับจากไปเยือนกัมพูชา เพื่อนที่รู้จักโทร.มาบอกว่ารู้ไหมที่เขาไม่ให้คุณเข้าไปในที่ประชุมหลายที่ เพราะมีการไปแจ้งผู้นำกัมพูชาว่า ไม่ต้องคุยอะไรมาก เพราะจะถูกปลดออกจาก มท.1 ที่สุดได้รับแจ้งวันที่ 17 มิ.ย. ว่า พรรค พท.ต้องการกระทรวงมหาดไทยคืน ขอให้ไปเป็น รมว.สาธารณสุข จึงพูดไปตรงๆว่าขอออกจากรัฐบาลดีกว่า แต่ น.ส.แพทองธารบอกอยากให้อยู่ แต่ให้ไปอยู่กระทรวง สธ. เพราะใกล้เลือกตั้งแล้ว พรรค พท.ต้องได้กระทรวง มท. จึงถามว่าอะไรทำให้เชื่อว่า ได้ดูกระทรวง มท.จะชนะเลือกตั้ง คำตอบที่ได้คือจะเอา มท.คืน เชื่อว่า น.ส.แพทองธารไม่ได้พูดจากความต้องการในใจแต่มีคนบอกให้พูด ในที่สุดเลขาธิการนายกฯขณะนั้นมายืนยันไพ่ใบสุดท้าย ต้องไปอยู่กระทรวง สธ.ยันเอ็มโอยูไม่มีผลผูกพันรัฐบาล ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.จิราพรได้ประท้วงนายอนุทิน เล่าซีนดราม่าตัวเองกับบุคคลที่ไม่ได้อยู่ในสภาฯ ที่ไม่มีโอกาสได้ชี้แจง นายอนุทินสวนกลับว่า ไม่ได้เล่าซีนดราม่า เล่าความจริง คุณไม่มีส่วนเกี่ยวข้องจะมาบอกดราม่าได้อย่างไร เมื่อเลขาธิการนายกฯมาหาตนที่กระทรวง มท. ยืนยันให้เป็นไปตามนั้น พรรค ภท.จึงถอนตัวจากรัฐบาลบังเอิญมีเรื่องคลิปเสียงนายกฯออกมาพอดี จากนั้นได้คุยกับพรรคฝ่ายค้านมองว่ารัฐบาลขณะนั้นไปไม่ไหวแล้ว จึงรอให้ยุบสภา แต่เมื่อ น.ส.แพทองธารถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ จึงไม่มีคนยุบสภา ทำให้เป็นที่มาเอ็มโอเอที่ไม่ได้พิสดาร เพราะลงนามกันเป็นทางการไม่ได้แอบเซ็น เป็นเอ็มโอเอเฉพาะพรรค ภท.กับพรรค ปชน. ไม่มีผลผูกพันทั้งรัฐบาล พรรค ภท.รักษาสัญญายุบสภาไม่เกินวันที่ 31 ม.ค.69 และวันที่ 14-15 ต.ค. จะเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยืนยันไม่มีการดูด สส.จากพรรค พท. มีแต่พรรค ภท.ถูกดูดจากพรรค พท. โชคดีที่ สส.ที่ถูกดูดกลับตัวทันไม่ไป ส่วน สส.ที่เพิ่มมาก็มาจากการเลือกตั้งซ่อม จ.ศรีสะเกษ เอ็มโอเอจะมาบังคับรัฐบาลเรื่องบริหารราชการแผ่นดินไม่ได้ ไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง หรือความพิสดารใดๆอย่าชี้ทางไปนรกล็อบบี้ สว.แก้ รธน.นายอนุทินกล่าวว่า ส่วนที่ขอให้ตนสัญญาจะไม่ใช้อำนาจกดดันข้าราชการให้เปลี่ยนแนวทางคดีเขากระโดง คดีฮั้ว สว. กกต.เป็นผู้ดำเนินการ มีแต่รัฐบาลท่านที่สั่งดีเอสไอดำเนินการ แล้วไปติดข้อกฎหมาย ทุกอย่างเป็นไปตามข้อกฎหมาย คดีเขากระโดงวันนั้น รมช.มหาดไทย ของท่านใจร้อน บอกวันที่ 2 ส.ค. จะยึดที่ดินคืน ทำงานแบบ น.ส.จิราพรอ่านอะไรไม่ได้ศัพท์ อ่านเร็วๆนึกว่าตัวเองเก๋าแล้วไปสรุปทุกเรื่อง หนังสือราชการต้องอ่านทุกถ้อยคำ สุดท้ายอธิบดีกรมที่ดินที่พรรค พท.เป็นคนตั้งแถลงว่า รัฐมนตรีทั้ง 2 คนพูดไม่ตรงมติคณะกรรมการ จะมาโทษอะไรตน ขอให้มั่นใจจะไม่เข้าไปดำเนินการเรื่องนี้เด็ดขาด ขอให้ น.ส.จิราพรถอนคำพูดว่านายกฯเป็นผู้ต้องหาดีเอสไอ ตนไม่ได้เป็นผู้ต้องหาและไม่เป็นผู้ถูกกล่าวหา ชอบใช้วาทกรรมพูดให้ประชาชนเข้าใจผิด เป็นเพียงผู้ถูกแจ้งข้อกล่าวหา การพูดว่าเป็นผู้ต้องหาเป็นคำพูดที่ผิด ส่วนที่บอกให้ไปขอความร่วมมือจาก สว.แก้รัฐธรรมนูญ ไม่รู้วางยาหรือไม่ การให้บอก สว.ต้องรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ เหมือนชี้ทางไปนรก จะพูดได้อย่างไรเขาห้ามชี้นำโน้มน้าวสมาชิกรัฐสภาผิดรัฐธรรมนูญ ทำไม่ได้ เรื่องนี้เป็นประชาธิปไตย ใครอยากแก้ก็แก้ ใครไม่เห็นด้วยไม่ต้องแก้ ยืนยันยุบสภาช้าสุด 31 ม.ค.69 แน่นอน อาจเร็วกว่าด้วยซ้ำถ้ามีความจำเป็น“นันทนา” กังขาไม่จริงใจแก้ รธน.น.ส.นันทนา นันทวโรภาส สว. กล่าวว่า นโยบายรัฐบาลเขียนเรื่องแก้รัฐธรรมนูญแค่ 3 บรรทัด บอกเพียงรัฐบาลจะสนับสนุนการจัดทำประชามติและการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ ก่อให้เกิดข้อกังขารัฐบาลมีเจตจำนงแก้รัฐธรรมนูญเพียงใด ที่ผ่านมาพรรค ภท.หรือไม่ที่วอล์กเอาต์ญัตติแก้รัฐธรรมนูญเมื่อต้นปี ใช่ สว.เสียงข้างมากหรือไม่ที่วอล์กเอาต์ไม่แก้รัฐธรรมนูญ แต่ชั่วข้ามคืนที่ลงนามเอ็มโอเอก็ยูเทิร์น สร้างข้อสงสัยจะหมกเม็ดซ่อนเงื่อน ที่สุดจะได้รัฐธรรมนูญสีเดียวกับนโยบายของท่านหรือไม่ ทำร้ายประชาชนทั้งประเทศด้วยรัฐธรรมนูญที่แย่กว่าจวกปิดปากปิดหูปิดตา ปชช.“ปัญหาที่ทั้งประเทศเป็นห่วงรัฐบาลชุดนี้คือ นิติธรรม แม้ยืนยันนโยบายรัฐบาลจะรักษาหลักนิติธรรมเคร่งครัด แต่แค่ สส.อภิปรายเรื่องฮั้ว สว. เขากระโดง ก็แห่ประท้วงจนอภิปรายต่อไม่ได้ นี่คือเริ่มปิดหูปิดตาประชาชน จะกลัวอะไร ที่จะนำคดีความมาเปิดเผยให้ประชาชนรู้ ประชาชนจับตา รมว.ยุติธรรม สายตรงบุรีรัมย์ จะมาพลิกผันคดีจากดำกลายเป็นขาว จากขาวให้กลายเป็นดำหรือไม่” น.ส.นันทนากล่าวยันกัญชาจบแล้ว ลุยปราบยานรกต่อมานายโสภณ ซารัมย์ รองนายกฯชี้แจงถึงแนวทางแก้ปัญหายาเสพติดว่า แม้จะมีเวลา 4 เดือน พรรค ภท.พร้อมบริหารประเทศวางรากฐานที่ถูกต้อง การแก้ปัญหายาเสพติด จะทำบูรณาการ หยิบยกโมเดล จ.บุรีรัมย์ ที่การแก้ปัญหายาเสพติดจะสำเร็จได้ต้องได้รับความร่วมมือจากประชาชน ทำได้ตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ผวจ. นายอำเภอ นายก อบต. ดำเนินการเลย ทำผ้าป่ายาเสพติดและประมวลผล การแก้ปัญหายาเสพติดไม่สามารถแก้ได้ด้วยเพียงวาทกรรม ทุกฝ่ายต้องร่วมมือกัน ส่วนเรื่องกัญชาไม่ปฏิเสธว่า พรรคภท.มีนโยบายเรื่องกัญชาก่อนหน้านี้ แต่ปัญหากัญชาจบแล้ว ตอนนี้มีแต่การแก้ไขปัญหายาเสพติดช่วง 4 เดือนนับจากนี้กลาโหมแจงดราม่าทหารกินมาม่าพล.ท.อดุลย์ บุญธรรมเจริญ รมช.กลาโหม ชี้แจงถึงปัญหาข้อพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชาว่า เคยรับราชการชายแดนที่ จ.บุรีรัมย์ เป็นผู้บังคับหน่วย เป็นแม่ทัพภาคที่ 2 นำกำลังปะทะทหารกัมพูชาปี 54 ทราบดีมีบริบทอย่างไร การเผยแพร่ข้อความฝากดูแลทหารไทยรอบภูมะเขือ ยังกินแต่มาม่า ปลากระป๋อง บริเวณชายแดนในสถานการณ์เผชิญหน้า ถือว่าดีที่สุดแล้ว ความภาคภูมิใจไม่ได้อยู่ที่การกินอาหารดีๆอยู่ที่การได้รับใช้ชาติ ปกป้องอธิปไตย ไม่มีใครไปเรียกร้องหาอาหารดีๆ ขอให้ความเชื่อมั่นแผ่นดินไทยต้องเป็นของไทย ฝากให้กำลังใจทหารชายแดนอย่าไปดูคลิปแล้วบอกทำไมไม่ดูแลลูกน้อง บั่นทอนกำลังใจผู้บังคับหน่วย“ก่อแก้ว” ซัด ครม.อนุวิน กินรวบ ปท.นายก่อแก้ว พิกุลทอง สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท.อภิปรายว่า การที่รัฐบาลตั้งนายโสภณ ซารัมย์ เป็นรองนายกฯ พล.ต.ท.รุทธพล เนาวรัตน์ เป็นรมว.ยุติธรรม นายไชยชนก ชิดชอบ เป็น รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) แต่งตั้งแบบระบอบอุปถัมภ์ไร้ความชอบธรรม แนะนำให้ตั้งกระทรวงบุรีรัมย์ไปเลยดีกว่า ไม่ได้ว่า จ.บุรีรัมย์ ไม่ดี ตอนนี้ พัฒนาไปเยอะ แต่บางคนไม่ควรใช้อำนาจเช่นนี้ รู้จักนายกฯมานานเชื่อว่าเป็นคนดี แต่ทุกครั้งที่มาอยู่การเมืองไม่เป็นตัวของตัวเอง วันนี้มาจุดสูงสุดทางการเมือง แต่จะประสบความสำเร็จในหน้าที่นายกฯหรือไม่ ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติตัว หากปล่อยให้ใครครอบงำ เพื่อเป้าหมายกินรวบประเทศไทย เชื่อว่าสังคมประณามกล่าวขานว่า ไม่ใช่นายกฯตัวจริงแต่คือ “อนุวิน กินรวบประเทศไทย”“ไชยชนก” แซะกลับ รบ. “ทักเซน”จากนั้นนายโสภณ ซารัมย์ รองนายกฯใช้สิทธิพาดพิงว่าพรรค พท.เอาลูกมาเป็นนายกฯ ไม่อยากใช้วาทกรรมเรื่องแบบนี้ เป็น สส.ตั้งแต่ปี 44 ไม่เคยใช้แม้แต่ครั้งเดียว มีครั้งนี้ที่ต้องใช้จีเอ็มโอดัดแปลงพันธุกรรมการเมืองแบบนี้ให้เลิกได้แล้ว การจะตั้งคนบุรีรัมย์เป็นรัฐมนตรีกี่คน ไม่ใช่เรื่องผิด จากวันนี้ถ้าเขาทำอะไรผิดค่อยมาว่าขณะที่นายไชยชนก ชิดชอบ รมว.ดิจิทัลฯชี้แจงว่า น้อมรับเป็นรัฐมนตรีป้ายแดง ไม่มีประสบการณ์การเมือง แต่เป็นหนึ่งในฟันเฟืองสำคัญช่วยประเทศไทย พ้นจากภัยความมั่นคงประเทศ เอาพวกท่านออกจากการบริหารสูงสุดของประเทศไทย แม้ไม่มีประสบการณ์ฝ่ายบริหาร แต่สัญญาจะทำประโยชน์ให้ประเทศ ตั้งใจทำหน้าที่ ทำทุกอย่างให้ถูกกฎหมาย แต่ยังไม่ทันเข้ารับตำแหน่ง มีคนติดต่อมาหาผ่านเพื่อนสมาชิกเสนอให้เงินเดือนละ 40 ล้านบาท ไม่ให้จับคอลเซ็นเตอร์ สแกมเมอร์ ทำให้สงสัยประเพณีปฏิบัติของ รมว.ดีอี ที่ผ่านมาเป็นอย่างไร แต่ปฏิเสธไปแล้ว โครงการอื่นๆต้องศึกษามากขึ้นรู้สึกว่าเอ๊ะ ที่นายก่อแก้วพูดถึงรัฐบาล “เนทิน” นั้น ไม่มั่นใจเพราะเป็นน้องใหม่ในวงการการเมือง ไม่แน่ใจว่าต้องเป็นรัฐบาล “ทักเซน” หรือ “ฮุนษิณ” หรือไม่บกพร่องตั้ง “ธรรมนัส-สุชาติ” นั่ง รมต.นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. อภิปรายว่า สงสัยคุณสมบัติรัฐมนตรี ที่รัฐบาลปกติแม้แต่รัฐบาลที่แล้วไม่กล้าตั้ง แต่รัฐบาลนี้ลุยไฟตั้ง เป็นรองนายกฯ 2 คน มีปัญหาความน่าเชื่อถือบกพร่อง ต้นทุนต่ำ คนแรก ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า รองนายกฯ และ รมว.เกษตรฯ มีคลิปไวรัลมันคือแป้ง ถูกตั้งข้อสงสัยจำคุกในต่างประเทศ แม้ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัยไม่ขาดคุณสมบัติเป็นรัฐมนตรีตามกฎหมายไทย แต่นำมาซึ่งข้อสงสัย ตั้งคำถามรุนแรงถึงคุณธรรมจริยธรรมผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองและมีประเด็นปกปิดบัญชีทรัพย์สิน ใช้ชื่อบุคคลอื่นถือครองหุ้นโดยไม่แจ้งต่อ ป.ป.ช. มีรายได้ลึกลับจากธุรกิจสลาก แต่น่าแปลกใจไม่มีชื่อเป็นผู้ถือหุ้นในบริษัทขายสลากใดๆ คนที่ 2 นายสุชาติ ชมกลิ่น รองนายกฯและ รมว.ทรัพยากรธรรมชาติฯ ฝ่ายค้านตั้งเงื่อนไขไม่ให้ตั้ง กังวลความโปร่งใส ประเด็นอาคาร SKYY9 สมัยเป็น รมว.แรงงาน ที่สำนักงานประกันสังคมซื้อตึกราคาเกินจริง 75%ผู้กองแฉกลับ “อนุสรณ์” เคยขอซบ กธ.ขณะที่ ร.อ.ธรรมนัสชี้แจงว่า สิ่งที่นายอนุสรณ์อภิปรายเป็นเรื่องเก่า จำได้ว่านายอนุสรณ์เคยมาคุยขอร่วมอุดมการณ์ในพรรค กธ. วันนั้นกับวันนี้ต่างกันราวฟ้ากับดิน วันนั้นชื่นชมตนทำงานดี บอกอยู่บ้านนี้ไม่มีความสุข อยากร่วมอุดมการณ์ด้วย ไม่เข้าใจเมื่อเช้าตื่นมากินยาผิดประเภทหรือไม่ ได้เจอสถานีที่พะเยาแน่นอน ไม่อ่านกฎหมาย ไม่มีความรู้ ผ่านมาหมดแล้วถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจไม่รู้กี่ครั้ง ได้รับความไว้วางใจให้ทำหน้าที่รัฐมนตรีต่อ วลีเก่าที่พูดไม่ได้พูดทั้งหมด เอามากล่าวสนุกปาก เวลานี้คดีอยู่ที่ จ.พะเยา 200 คดีแล้ว เรื่องจริยธรรมศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดแล้วไม่ผิดคุณสมบัติต้องห้าม ผ่านเรื่องดีและไม่ดีมามากมายในชีวิต ยอมรับการตรวจสอบ อย่าเอาเรื่องเก่ามาเป็นประเด็นอีก หากสงสัยคุยส่วนตัวได้ พูดอะไรอย่ากลืนน้ำลายตัวเอง ใครพาดพิงให้เสียหาย แม้มีเอกสิทธิ์คุ้มครอง ถ้าไปขยายความให้เกิดความเสียหายข้างนอก เจอแน่สถานที่ต่อไปที่พะเยา“สุชาติ” ปัดไม่เกี่ยวซื้อตึก SKYY9ด้านนายสุชาติชี้แจงว่า นอนละเมอเพ้อถึง SKYY9 ทุกวัน ยืนยันอำนาจ รมว.แรงงานไม่ได้ไปล้วงลูกการลงทุน เป็นเรื่องบอร์ดประกันสังคมพิจารณาการลงทุน รัฐมนตรีไม่ได้มีอำนาจ ถ้าใครทำผิด ต้องเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบให้หมด น้อมรับทุกเรื่องถ้าเกี่ยวโยงเกี่ยวพัน อยากให้เรื่องเหล่านี้จบไปเสียที ทุกวันนี้บอร์ดลงทุนประกันสังคม ไม่มีใครกล้าไปเป็น กลัวโดนร้องเรียน ได้เบี้ยประชุมไม่กี่พันบาท แต่ไม่มีใครเสี่ยงมาเป็น“โรม” แฉ “เบน สมิธ-ทักษิณ-ธรรมนัส”จากนั้นนายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน. อภิปรายนโยบายแก้ปัญหาข้อพิพาทไทย-กัมพูชา อาชญากรรมข้ามชาติ แก๊งสแกมเมอร์ นำภาพครอบครัวชินวัตรกับครอบครัวฮุนมาแสดงยกตัวอย่างหลายตัวละคร อาทิ ยิม เลียก เหมือนคนในครอบครัวฮุน ทำธุรกิจร่วมกับเบนสมิธ ที่ปรึกษาฮุน เซน มีประวัติเคยทำธุรกิจแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เปิดภาพเหตุการณ์ในอดีต ร.อ.ธรรมนัส และนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯไปพบกับนายอันวาร์ อิบราฮิม นายกฯมาเลเซีย ที่หลีเป๊ะ กรณีเบน สมิธ ขอแปลงสัญชาติเป็นไทยและจะเปลี่ยนชื่อเป็นสาธิต เมื่อ ต.ค.67 นายอนุทินรับปากได้หรือไม่ว่าจะไม่ให้สัญชาติกับใครที่เกี่ยวข้องกับแก๊งสแกมเมอร์ เครื่องบินนายทักษิณที่ใช้บินไปดูไบ เรือยอชต์ ที่หลีเป๊ะล้วนถูกจัดหาโดยเบน สมิธ หวังว่าไม่ใช่เรื่องจริง ไทยไม่สามารถผลักดันเอนเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ได้อย่างที่ผู้มีอำนาจกัมพูชาหวัง ทำให้ปัญหาคน 2 ตระกูลเป็นปัญหาคนทั้งประเทศ ขัดแย้งจนทุกวันนี้ 4 เดือนนายกฯจะเอาจริงเอาจังอย่าให้เหมือนรอบที่แล้วที่เป็น รมว.มหาดไทย กว่าจะได้ปราบใช้เวลามากมายเหลือเกินโละเอ็มโอยูเสี่ยงเพลี่ยงพล้ำหมื่นล้าน นายรังสิมันต์กล่าวว่า MOU ไทย-กัมพูชาที่จะทำประชามติ ฟังเหมือนจะดี ต้องเตรียมพร้อมทุกฉากทัศน์ เช่น หากยกเลิกMOU43 กัมพูชาอาจอ้างว่ากลไกทวิภาคีระหว่างไทย-กัมพูชาไม่มีประสิทธิภาพจึงต้องไปศาลโลก ขณะที่ชายแดนทางทะเล บริษัททุนข้ามชาติจะฟ้องไทยโดยอนุญาโตตุลาการ หรือไม่ หากไทยยกเลิก MOU 44 รัฐบาลต้องเตรียมรับมือ จะเสี่ยงทำให้ไทยต้องเสียค่าชดใช้นับหมื่นล้านด้วยภาษีประชาชนแฉทุนเทาตั้งท่าฮุบหุ้นบางจากนายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ปชน. อภิปรายการซื้อหุ้นบริษัท บางจาก คอร์เปอเรชัน จำกัด (มหาชน) โดยทุนต่างชาติที่อาจเชื่อมโยงนายเบนจามิน เมาเออร์เบอร์เกอร์นักลงทุนชาวต่างชาติที่ใกล้ชิดสมเด็จฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา ปี 67 มีกองทุนลึกลับพยายามซื้อหุ้นบางจากที่กองทุนประกันสังคมถืออยู่ 14% มูลค่า 7,000 ล้านบาท แต่ไม่สามารถระบุตัวตนผู้ซื้อทำให้ดีลไม่เกิดขึ้น ต่อมากองทุนสิงคโปร์มาถือหุ้นบางจากชั่วคราว ก่อนรีบขายออก 9%ให้บริษัทไทย แล้วมีการกวาดซื้อหุ้นต่อเนื่องถือครองถึง 20% มีเส้นทางโยงถึงเครือข่ายนายเบนจามินที่ถูกตั้งข้อสงสัยพัวพันทุนสีเทาและขบวนการคอลเซ็นเตอร์ในกัมพูชา นายเบนจามินมีความสัมพันธ์กับนักการเมืองไทย มีภาพถ่ายกับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯและ ร.อ.ธรรมนัส ภริยานายเบญจามินเป็นหนึ่งในผู้จัดการกองทุนเกี่ยวกับการลงทุนในไทย เว็บไซต์กลุ่มทุนต่างชาติถึงขั้นนำชื่อนายวรภัค ธันยาวงศ์ รมช.คลังไปอ้างเป็นที่ปรึกษา ขอให้รัฐบาลตรวจสอบ ถ้าเป็นเงินสีดำถือเป็นหายนะระดับชาติ ให้นายกฯสั่งการ ปปง. ป.ป.ช. กระทรวงต่างประเทศตรวจสอบไม่ให้ไทยเป็นสวรรค์มาเฟียข้ามชาติ หากให้ทุนเทาผสมพันธุ์นักการเมืองไทย ไม่เฉพาะหุ้นบางจาก แม้แต่ ปตท. ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ อาจถูกยึดครองในอนาคต เป็นการรุกรานทางการเมืองและความมั่นคงที่ต้องตระหนัก“วรภัค” ปัดไม่มีธุรกรรมผิด ก.ม.ขณะที่นายวรภัค ธันยาวงษ์ รมช.คลัง ชี้แจงว่าทำงานมา 30 ปีไม่มีประวัติด่างพร้อย ตำแหน่งสุดท้ายเป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย ปลายปี 64 มีกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ของฟินันซ่า สนใจขายหุ้น 29.9% เป็นหนึ่งในกรรมการฟินันซ่ามาหลายปี เห็นเป็นโอกาสดีตอนนั้นราคาหุ้นไม่แพง หุ้น 29.9%ใช้เงินไม่กี่ร้อยล้านบาท หุ้น 29.9% ซื้อถูกต้องตามกฎหมาย ขออนุญาตจากตลาดหลักทรัพย์ จากนั้นขายหุ้นที่ซื้อมาออกไปปลายปี 67 หลังเข้าไปถือหุ้น 3 ปี ไม่ได้ขายให้บริษัทตามที่นายวิโรจน์กล่าวหา มีหลักฐานชัดเจนยืนยัน ครม.เศรษฐกิจ ไม่สนับสนุนการทำธุรกรรมผิดกฎหมายใดๆ รวมทั้งธุรกรรมฟอกเงิน“สุทิน” ปิดท้ายห่วง 4 เดือนสูญเปล่ากระทั่งเวลา 17.45 น. นายสุทิน คลังแสง สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. อภิปรายปิดท้ายว่า กังวลนโยบายรัฐบาลจะเป็น 4 เดือนที่สูญเปล่า เพราะมีเอ็มโอเอเป็นข้อจำกัด ทั้งด้านเวลา ภารกิจและยังเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ทำให้รู้ว่านรกมีจริงและยังประสบปัญหาความเชื่อมั่นทั้งจากในและต่างประเทศ ประชาชนหวาดระแวงจะเข้ามาสร้างเครือข่ายกินรวบประเทศ 4 เดือนนี้ ข้าราชการอาจเกียร์ว่างไว้ก่อน เพราะไม่รู้อนาคตใครจะมา ถ้าไม่ได้รับความร่วมมือจากข้าราชการ ความเชื่อมั่นจะยิ่งลด ข้อจำกัดต่างๆ เหล่านี้ทำให้รัฐบาลเป็นเป็ดง่อย ถ้า 4 เดือนแก้ปัญหาไม่ได้ รัฐบาลอาจทำสิ่งที่เป็นทางลัด เพื่อแก้ปัญหาให้ตัวเองทั้งคดีฮั้ว สว. คดีเขากระโดง หรือโยกย้ายข้าราชการเพื่อการเลือกตั้ง ท้ายที่สุดจะเบี้ยวเอ็มโอเอ รัฐธรรมนูญอาจแก้ไม่ได้“อนุทิน” ลั่น 4 เดือนไม่มีเป็ดง่อยหลังสมาชิกรัฐสภาอภิปรายครบถ้วนนายอนุทินกล่าวขอบคุณสมาชิกรัฐสภา ขอให้ความมั่นใจ นายกฯ และ ครม.จะไม่ใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ให้ตนเองพ้นจากผิดเป็นถูก ถ้าพบใครทำผิดจะไม่ให้ใครมาเร่ง จะเป็นคนเร่งรัดเอง 4 เดือนนี้จะทะเลาะกันไม่ได้ ต้องแข่งกันด้วยความขาวสะอาด จะไม่มีคำว่าได้เปรียบใดๆ เสียใจตอนที่พรรคตนอยู่กับท่าน แล้วไปคิดว่าจะทำให้เสียเปรียบการเลือกตั้ง ไม่เป็นจริง เป็นตัวของตัวเองดีกว่า รับรองจะไม่หลงใหลในอำนาจแล้วไปกลั่นแกล้งคนอื่น 4 เดือนจากนี้ไม่ใช่เป็ดง่อย ถ้าเป็นเป็ดง่อยยุบสภาไม่ได้ ยุบสภาจะเกิดขึ้นใน 4 เดือน ขอให้สมาชิกรัฐสภาร่วมประชุม กมธ.ร่างรัฐธรรมนูญให้เสร็จในปีนี้ ไม่มีวันหยุด ถ้าร่วมมือกันการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่จะสมปรารถนาขออโหสิต่อกันแล้วมาแข่งกันทำงาน“ส่วนการโยกย้ายข้าราชการไปช่วยการเลือกตั้ง ไม่มีใครรู้ดีเท่าตน อยู่กระทรวง มท.มา 3 สมัย การเลือกตั้งจะได้มากหรือน้อยอยู่ที่ผู้สมัคร นโยบายพรรคและพรรคการเมือง ไม่เคยคิดข้าราชการคนใดจะช่วยให้พรรคชนะเลือกตั้งได้ ไปถาม รมว.มหาดไทยคนก่อน วินาทีนี้คงซาบซึ้งเป็นอย่างดี การเอามีดตัดมือตัวเอง คนชื่ออนุทินไม่มี คนที่เอามีดตัดมือตัวเองคือคนที่ให้ผมออกจากรัฐบาลที่แล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่มีวันนี้ ขอให้อโหสิ แล้วมาแข่งทำงาน รับรองไม่ใช่เป็ดง่อย นี่หนูไม่ใช่เป็ด หนูไม่ง่อย เป็ดอาจจะง่อย รัฐบาลนี้จะทำหน้าที่ตั้งแต่วินาทีนี้เพื่อประโยชน์ต่อประเทศและประชาชน” จากนั้นนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา สั่งปิดประชุมเวลา 18.20น.“อนุทิน” ยัน รมต.ตรวจมาดีแล้วที่รัฐสภา นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯและ รมว.มหาดไทย ให้สัมภาษณ์กรณีสมาชิกรัฐสภาอภิปรายเรื่องคุณสมบัติรัฐมนตรีกันมากว่า ได้ตรวจสอบประวัติและคุณสมบัติตามกฎหมายกำหนด ตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งประวัติอาชญากรรม ประวัติการศึกษา ได้รับการยืนยันว่าไม่มีข้อมูลใด ที่ปรากฏว่า ครม. ไปมีความผิดหรือขาดคุณสมบัติ ยังเรียกประชุมหน่วยงานทั้งหมด 9 หน่วยงาน เพื่อพิจารณาให้ความเห็นทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย เมื่อถามว่ารัฐมนตรีที่ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลยังถือว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ใช่หรือไม่ นายอนุทินกล่าวสวนกลับมาทันทีว่า กฎหมายเขาว่าอย่างไรเร่งคนละครึ่งรับทุกพรรคหาเสียงหมดนายอนุทินกล่าวว่า กรณี สส.พรรค ปชน. พุ่งเป้านโยบายคนละครึ่งรีบร้อนเกินไปและหาเสียงล่วงหน้า เวลาทํางานมีแค่ 4 เดือนและสไตล์การทํางานของ ครม.ชุดนี้อันไหนทําได้ต้องทําเลย ไม่มีคําว่ารีบร้อน มีแต่ทําด้วยความรวดเร็ว ผ่านการกลั่นกรองดำเนินการที่ถูกต้องโปร่งใส มีประโยชน์ ที่มองหาเสียงล่วงหน้าทุกพรรคก็หาเสียงหมด การอภิปรายด้วยข้อมูลต่างๆให้ประชาชนได้เห็นในสภาก็คือการหาเสียงอย่างหนึ่ง ทุกครั้งที่พูดในสภา ไม่ว่าฝ่ายไหนคือพูดให้พี่น้องประชาชนฟัง ไม่ได้พูดให้ฟังกันเองอ้างให้เกียรติ ปชช.ถามเลิกเอ็มโอยูนายอนุทินกล่าวว่า ส่วนการเตรียมทำประชามติพร้อมเลือกตั้งทั่วไปครั้งหน้าใช้บัตร 4 ใบ รัฐบาลจะประสานงานหาความร่วมมือกับทุกฝ่าย อาทิ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และกระทรวงมหาดไทย เร่งทำความเข้าใจเพื่อให้ประชาชนใช้สิทธิถูกต้อง เมื่อถามว่า MOU ไทย-กัมพูชาที่จะทำประชามติเป็นฉบับปี 43 หรือ 44 นายอนุทินกล่าวว่า ขณะนี้คณะ กมธ.วิสามัญศึกษา MOU 2543-2544 ระหว่างไทยกับกัมพูชา สภาฯกำลังศึกษาอยู่ต้องรอผล หากผลออกมาชัดเจนอาจจะยกเลิกได้เลยโดย ครม. เพียงแต่ต้องการให้ประชาชนมีส่วนร่วมเป็นการให้เกียรติ หากผลการศึกษาออกมาแล้วชัดเจนอาจจะเลิกเลยก็ได้ ถ้าตนทำเองเลิกไปแล้ว“เอกนิติ” ยันคนละครึ่งคิกออฟ 1 ต.ค.นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯและ รมว.คลัง ให้สัมภาษณ์ถึงการประชุม ครม.เย็นวันที่ 30 ก.ย.ว่า โครงการคนละครึ่งไม่ทันการพิจารณาในที่ประชุม ครม.วันที่ 30 ก.ย. น่าจะเข้าสู่การพิจารณาสัปดาห์หน้า ส่วนสาเหตุที่ไม่ทันจะขอชี้แจงภายหลัง แต่ยืนยันว่าโครงการคนละครึ่งจะดำเนินการได้ทันในเดือน ต.ค.แน่นอน ส่วนวาระที่ที่ประชุม ครม.จะพิจารณางบประมาณ โดยเฉพาะงบประมาณปี 68 ซึ่งวันที่ 30 ก.ย. วันสุดท้ายของปีงบประมาณ จะนำมาใช้ในหลายส่วน อาทิ การรักษาวินัยการเงินการคลังในการคืนหนี้ให้กับธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) และจะใช้ในอีกหลายโครงการรบ.จ่อถกวุฒิสภา-ฝ่ายค้านแก้ รธน.นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกฯ กล่าวถึงแนวทางทำประชามติกาบัตรเลือกตั้งพร้อมกัน 4 ใบ ในวันเลือกตั้ง สส.ว่า นายกฯระบุจะยุบสภาวันที่ 31 ม.ค.69 ต้องเลือกตั้งไม่เร็วกว่า 45 วัน และไม่ช้ากว่า 60 วัน ตามรัฐธรรมนูญ แต่ พ.ร.บ.ประชามติระบุว่าประชามติจะทำได้ไม่เร็วกว่า 90 วัน และไม่ช้ากว่า 120 วัน นับแต่วันที่ประธานรัฐสภาส่งเรื่องถึงนายกฯความซับซ้อนเกิดขึ้นอีก เพราะมีการเสนอร่าง พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายดังกล่าว ที่ทูลเกล้าฯแล้ว ตรงนั้นปรับเวลาทำประชามติได้ก่อน 60 วัน และไม่ช้ากว่า 150 วัน ต้องทำไทม์ไลน์ให้ดียังพูดอะไรแน่นอนไม่ได้ ขึ้นอยู่กับร่างกฎหมายดังกล่าวที่จะลงปรมาภิไธย หรือพระราชทานลงมา รัฐบาลตั้งใจหารือกับพรรคการเมือง สว. กกต. เร็วที่สุด ประชาชนจะได้ไม่สับสนกับบัตร 4 ใบ จำได้ไม่ยาก เช่น บัตรเลือกตั้งใช้บัตรปกติ ไม่ต้องมีสี บัตรประชามติสีเหลือง เห็นชอบให้กาช่องสีเขียว ไม่เห็นชอบกาช่องสีแดง ไฟเขียว ไฟแดง ทุกคนรู้จัก ทำประชามติเอ็มโอยูกับกัมพูชาเช่นกัน ใช้กระดาษอีกสีหนึ่ง เช่น สีฟ้ายกเลิกอาจให้กาช่องสีเขียว ไม่ให้ยกเลิกให้กาช่องสีแดงรับไม่ได้ใช้ ก.ม.–หน่วยรัฐฟัดคู่กัดนายบวรศักดิ์ ในฐานะกำกับดูแลกระทรวงยุติธรรมและคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) กล่าวถึงการให้นโยบายทำคดีเขากระโดงและคดีฮั้ว สว.อย่างไรหลังถูกอภิปรายอย่างหนักในการแถลงนโยบายรัฐบาลว่า ยังไม่ได้เข้าไปพูดคุยอะไรเลย ปล่อยให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม แต่ว่า ตนรับไม่ได้กับการที่การเมืองจะลงไปใช้กฎหมาย ใช้หน่วยงานของรัฐเป็นเครื่องมือทางการเมือง ต้องไปพูดกันในหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เมื่อถามว่าคดีดังกล่าวจะกระจ่างชัดเจนได้ในยุคที่กำกับดูแลหรือไม่ นายบวรศักดิ์กล่าวว่า ไม่ทราบ“อนุทิน” สั่งเร่งงบฯเยียวยาภัยพิบัติ ต่อมาเวลา 18.34 น. ที่รัฐสภา นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯและ รมว.มหาดไทย เป็นประธานการประชุม ครม.นัดแรก นายอนุทินกล่าวช่วงต้นว่า มีเรื่องสำคัญการใช้งบฯปี 68 ที่เหลืออยู่กว่า 60,000 ล้านบาท ไปช่วยเหลือประชาชน รวมทั้งโครงการที่ใช้เงินธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ที่ดำเนินการไปก่อน ขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งนำไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ ให้เร่งขึ้นทะเบียนครอบครัวผู้ประสบภัย ให้ทุกส่วนราชการส่งเรื่องมาที่ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติทางธรรมชาติ (ศชภ.) เพื่อพิจารณาภาพรวมก่อนเสนอต่อ ครม. และให้ศูนย์ ศชภ.ทำข้อเสนอมาตรการช่วยเหลือประชาชนเขตพื้นที่รับน้ำประจำทุกปีต่อเนื่อง และให้กระทรวง มท.ทบทวนหลักเกณฑ์ เงื่อนไข วิธีการจ่าย และวงเงินช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความมั่นคงตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาได้ครอบคลุมมีประสิทธิภาพโดยเร็วกกต.เรียก “เศรณี” พยานแจงฮั้ว สว.ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ถนนแจ้งวัฒนะ นายนิยต ดำรงประภักดิ์ ประธานกรรมการสืบสวนและไต่สวนคณะที่ 20 สำนักงานคณะกรรมการ กกต.ออกหมายเรียกนายเศรณีอนิลบล สว.สายเกษตร มาสอบในฐานะพยานคดีฮั้วเลือกตั้ง สว. ด้วยเหตุพบข้อมูลว่าก่อนวันเลือก สว.ระดับประเทศ นายเศรณีมีชื่อเป็นผู้เข้าร่วมประชุมและเข้าพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งใน จ.ปทุมธานี สถานที่น่าเชื่อว่ามีการกระทำอันฝ่าฝืนมาตรา 77 (1) แห่ง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ.2561 ให้นายเศรณีในฐานะพยานไปพบคณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนคณะที่ 20 ที่สำนักงาน กกต. จ.นครสวรรค์ อ.เมืองนครสวรรค์ วันที่ 30 ก.ย.68 เวลา 13.00น.สว.สำรองยื่น อสส.ชงยุบ ภท.–ปชน.เมื่อเวลา 14.00 น. ที่สำนักงานอัยการสูงสุด ถนนแจ้งวัฒนะ นายอัครวัฒน์ พงศ์ธนาชลิตกุล สว. สำรอง ยื่นเรื่องให้อัยการสูงสุดตรวจสอบการกระทำความผิดของกลุ่มบุคคลที่อาจเข้าข่ายล้มล้างการปกครอง โดยร้องเรียนเอาผิด 2 บุคคล 2 พรรค การเมือง คือนายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯและ รมว.มหาดไทยและหัวหน้าพรรค ภท. นายณัฐพงษ์ เรือง ปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้านและหัวหน้าพรรค ปชน. พรรค ภท.เเละพรรค ปชน. โดยนายอัครวัฒน์ระบุว่า 2 พรรคทำ MOA มีลักษณะแทรกแซงก้าวก่ายพรรคการเมืองระหว่างกันหรือ “สัญญาทาส” อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และจะทำให้ประชาธิปไตยของประเทศไม่พัฒนา เกิดรัฐบาลเสียงข้างน้อยและฝ่ายค้านเสียงข้างมาก รวมทั้ง MOA มีลักษณะเหมือนเอื้อประโยชน์ให้แก่กลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่ง มองว่าผู้ถูกร้องทั้ง 4 มีการกระทำเข้าข่ายเป็นการล้มล้างการปกครองตามมาตรา 49 ของรัฐธรรมนูญมติศาล รธน.ลุยต่อสอย “ทวี–อ้วน”วันเดียวกัน ศาลรัฐธรรมนูญมีการพิจารณาคำร้องที่ประธานวุฒิสภาส่งความเห็นของ สว. ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าความเป็นรัฐมนตรีของนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ขณะนั้น รวมทั้ง พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรมขณะนั้น สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) ประกอบมาตรา 160 (4) จากกรณีผู้ถูกร้องทั้งสองมีมติให้การกระทำความผิดทางอาญาอื่นเป็นคดีพิเศษตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 23 วรรคหนึ่ง (2) แทรกแซงหรือครอบงำหน้าที่และอำนาจของ กกต. โดยใช้กรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นเครื่องมือแทรกแซงกระบวนการ ตรวจสอบการเลือก สว. อันเป็นการกลั่นแกล้ง กดดัน ข่มขู่ และครอบงำ สว. ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเสียงข้างมาก 6 ต่อ 2 วินิจฉัยว่าการพิจารณาคดีต่อไปจะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ แม้ ครม. น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จะพ้นจากตำแหน่งไปแล้วทั้งคณะอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่