4 เดือนเหมือน 4 ปี...นั่นคือสภาพการเมืองในปัจจุบัน ไม่ว่านักการเมืองคนไหน พรรคไหน ต่างก็ยืนในจุดนี้ไม่ต่างกัน โดยเฉพาะ “อนุทิน ชาญวีรกูล” นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลของเขาที่จะต้องเร่งทำทุกอย่างด้วยข้อจำกัดเพื่อสร้างความนิยมทุกช่องทางปัญหาก็คือเวลาสั้นๆนั้นต้องคิดต้องทำอะไรให้เห็นเป็นรูปธรรม อย่าคิดอะไรเกินกว่าหน้าตักที่มีอยู่ เพราะงบประมาณก็ไม่ได้ทำเองเป็นของรัฐบาลเก่าที่ทำเพื่อสนองนโยบายของเขารัฐบาลใหม่ก็ต้องคิดใหม่ทำใหม่ อะไรดีก็ทำต่อ อะไรไม่ดีก็ต้องทิ้งไปแม้แต่การเลือกตั้งซ่อม สส.ก็ต้องเอาไปบวกด้วย “ภูมิใจไทย” ชนะเลือกตั้งที่ศรีสะเกษ อีกไม่กี่วันที่เมืองกาญจน์ก็ต้องเลือกอีกถ้าชนะอีกก็จะเพิ่มความนิยมสูงขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง นั่นหมายรวมไปถึงบรรดานักการเมืองในค่าย “สีแดง” ที่พ่ายแพ้ก็ต้องคิดเหมือนกันว่าควรจะย้ายพรรคหรือไม่?เพราะ “เพื่อไทย” เริ่มออกอาการแล้ววันนี้สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาแม้จะยังไม่สงบแต่การที่รัฐมนตรีต่างประเทศไทยไปพูดที่ยูเอ็นจนได้รับคำชมเชยก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่จะเก็บแต้มได้หลังแถลงนโยบายเสร็จก็จะเริ่มต้นทำงานอย่างเป็นทางการก็ต้องดูว่ารัฐบาลจะมีอะไรดีๆมาสร้างความพอใจให้กับประชาชนบ้างรัฐบาลคนนอกระดับมือโปรจะเพิ่มความเชื่อมั่นและมั่นใจได้แค่ไหนเหล่านี้ล้วนเป็น “กุญแจ” ที่จะไขไปสู่ความสำเร็จได้ในท่ามกลางการเมือง 3 ขั้วที่แย่งชิงกันไปสู้เบอร์ 1 ในสนามเลือกตั้งทุกคะแนนความนิยมย่อมมีความสำคัญพูดง่ายๆพรรคไหนเก็บทุกเม็ดได้พรรคนั้นก็มีโอกาสสูง!การแถลงนโยบายของรัฐบาลถือเป็นการพิสูจน์ได้ว่ามีดีแค่ไหนในการตอบชี้แจงและสร้างความเข้าใจอันบ่งบอกว่ามี “กึ๋น” แค่ไหนเพราะวันนี้ไม่ใช่มีแค่ภูมิใจไทย ประชาชน และเพื่อไทย... เท่านั้นแต่ “ประชาธิปัตย์” ก็พร้อมจะโชว์ตัวในฐานะฝ่ายค้านมืออาชีพ เพราะการเคลื่อนไหวครั้งนี้ก็เพื่อต้องการให้พรรค “เกิดใหม่” หลังจากฟุบมานาน“ชวน หลีกภัย” เปิดตัวอีกครั้งในฐานะฝ่ายค้านที่ต้องแสดงบทบาทเพื่อรองรับหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารชุดใหม่ที่มุ่งหวังชุบชีวิตให้ได้ในครั้งนี้!ก็เป็นอีกสีสันหนึ่งที่น่าสนใจยิ่งว่าประชาธิปัตย์จะกลับมาเป็นพรรคการเมืองที่ประชาชนฝากความหวังได้หรือไม่ในการทำหน้าที่ตรวจสอบรัฐบาลอย่างเข้มข้นเหมือนก่อนต้องยอมรับว่าทีมบริหารชุดปัจจุบันนั้นทำให้ภาพลักษณ์ตกต่ำลงไปมาก เนื่องจากความต้องการของหัวขบวนเป็นรัฐบาลมากกว่าเป็นฝ่ายค้านทุกอย่างเลยแกว่งไปหมดไม่ใช่แค่ทำให้สมาชิกพรรคลาออกหรือไม่ร่วมสังฆกรรมเท่านั้นแต่ศรัทธาของประชาชนก็ลดลงไปตามพฤติกรรมด้วยว่าไปแล้วหาก “ประชาธิปัตย์” มีบทบาททางการเมืองเหมือนก่อนการเมืองไทยก็จะเข้มข้นมากขึ้นเท่านั้น!“สายล่อฟ้า”คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม