เห็นรายชื่อ “ครม.อนุทิน” ที่โปรดเกล้าฯลงมาแล้ว ผมแบ่งได้เป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกเป็นรัฐมนตรี Technocrat ที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจจากภาครัฐและเอกชน ซึ่ง นายกฯอนุทิน ชาญวีรกูล พาไปเดินสายสร้างความเชื่อมั่นทั้งที่ สภาอุตสาหกรรมฯ และ สภาหอการค้าไทย ตั้งแต่ก่อนโปรดเกล้าฯลงมา ซึ่งมีอยู่เพียง 4 คนจากคณะรัฐมนตรี 36 คน คือ ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจและรัฐมนตรีคลัง คุณวรภัค ธัญยาวงษ์ รัฐมนตรีช่วยคลัง คุณอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์ รัฐมนตรีพลังงาน และ คุณศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีพาณิชย์รัฐมนตรีคนอื่นคงเอาไปอวดสร้างความเชื่อมั่นไม่ได้ เลยไม่เอาไปรัฐมนตรีกลุ่มที่ 2 มาจากสายการเมืองหลากหลาย รัฐมนตรีหน้าเก่าช้ำๆที่ไร้ผลงานจากพรรคภูมิใจไทย และพรรคร่วมรัฐบาล รวมทั้ง งูเห่างูเหลือมจากหลายกลุ่มการเมืองที่ไร้อุดมการณ์ ยึดผลประโยชน์เป็นที่ตั้ง พรรคตัวเองยังไม่ซื่อสัตย์ ไม่รู้จะซื่อสัตย์ต่อประชาชนและประเทศชาติได้อย่างไร รัฐมนตรีกลุ่มที่ 3 เป็นกลุ่ม “ทายาทการเมือง” ประเภท พ่อขาดคุณสมบัติก็ให้ลูกมาเป็นรัฐมนตรี รัฐมนตรีบางคนก็มาจากการ “ส่งต่อสืบทอด” ตำแหน่งทางการเมืองของคนในตระกูลที่มีอำนาจทางการเมือง ทำให้ตำแหน่งรัฐมนตรีเมืองไทยส่งต่อและสืบทอดกันได้ง่ายกว่าการส่งต่อธุรกิจครอบครัวเสียอีกประเทศไทย เป็น “หนึ่งใน 2 ประเทศในโลก” ที่มีการ ส่งต่อและสืบทอดตำแหน่งรัฐมนตรีในครอบครัว อีกประเทศหนึ่งคือ เขมรกัมพูชาเมื่อเห็นโฉมหน้า ครม.อนุทิน ที่ออกมาแล้ว กลุ่มรัฐมนตรีที่ต้องทำงานหนักที่สุดและเหนื่อยที่สุดใน 4-8 เดือนข้างหน้านี้ก็คือ กลุ่มรัฐมนตรีคนนอกที่เป็นเทคโนแครต มีรายงานข่าวว่า ทันทีที่ได้รับโปรดเกล้าฯเป็นรัฐมนตรีในวันศุกร์ที่ 19 กันยายน ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯฝ่ายเศรษฐกิจและรัฐมนตรีคลัง ก็ได้ส่ง “ร่างนโยบายเศรษฐกิจ” ที่ทำเสร็จแล้วไปให้นายกฯอนุทิน ชาญวีรกูล ทันทีในวันเดียวกัน ถือเป็นการร่างนโยบายเศรษฐกิจที่รวดเร็วที่สุดที่เคยมีมา รายงานข่าวแจ้งว่า ร่างนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลเฉพาะกิจ เสียงข้างน้อยได้กำหนดเป้าหมายว่า “มุ่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจเฉพาะหน้า แต่ส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจในระยะยาว” ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายไม่ใช่แก้ปัญหาด้วยการ เอาเงินภาษีของประชาชนมาละเลงหาเสียงแจกให้คนละหมื่นแล้วก็จบ อย่างที่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยทำดร.เอกนิติ ได้เปิดเผยระหว่างที่ติดตาม นายกฯอนุทิน ไปรับฟังความคิดเห็นของสภาหอการค้าถึงค่าเงินบาทที่แข็งค่าผิดปกติว่า ได้หารือกับ คุณวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการแบงก์ชาติคนใหม่แล้ว ได้เตรียมมาตรการดูแลค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น รวมทั้ง การตรวจสอบการไหลเข้ามาของเงินทุนสุทธิที่ผิดปกติ และ การตรวจสอบการซื้อขายทองคำที่เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้ค่าเงินบาทผันผวน เพื่อให้การฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพปัญหาใหญ่ของประเทศไทยวันนี้คือ “การขาดความเชื่อมั่นในรัฐบาล” ทำให้เศรษฐกิจไทยหดตัวไปทุกระบบ นักลงทุนต่างชาติเข้ามาแต่ตัวเลข แต่ไม่มีการลงทุนจริง มีแต่ “เงินทุนสีดำสีเทา” จาก นักการเมืองสีเทา นักธุรกิจไทยสีเทา นักธุรกิจจีนสีเทา นำเข้ามามากมายเพื่อฟอกเงิน จนทำให้ค่าเงินบาทแข็งค่าผิดปกติเมื่อส่องประวัติการทำงานของ ดร.เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกฯเศรษฐกิจและรัฐมนตรีคลังแล้ว ก็เป็นเทคโนแครตที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญเศรษฐกิจตัวจริง มีประสบการณ์รอบด้าน เคยทำงานที่ธนาคารโลก เป็นโฆษกกระทรวงการคลัง ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ อธิบดีกรมสรรพากร อธิบดีกรมสรรพสามิต อธิบดีกรมธนารักษ์ และที่สำคัญที่สุดคือ เป็นข้าราชการที่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ สามารถดึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนกลับมาได้แน่นอน.“ลม เปลี่ยนทิศ”คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม