ปัญหาหนี้สินของคนไทย โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือน ทั้งหนี้ผ่อนบ้าน ผ่อนรถยนต์ บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล หนี้นอกระบบ ฉุดรั้งการพัฒนาเศรษฐกิจประเทศ ถึงแม้ปัจจุบันตัวเลขหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพี ที่เคยสูงถึง 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ เมื่อปลายปี 2567 จะดีขึ้นเมื่อไตรมาส 1 และ 2 ของปี 2568 แต่ก็ยังอยู่ในระดับสูงและยังน่ากังวลที่ผ่านมารัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ โดยนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และ รมว.คลัง ได้มีมาตรการแก้ไข อาทิ ให้สถาบันการเงินจัดโครงการคุณสู้เราช่วย–จ่ายปิดจบ แก้หนี้เสีย มีแนวคิดซื้อหนี้จากสถาบันการเงินมาบริหารจัดการในรูปแบบบรรษัทบริหารสินทรัพย์ หรือตั้งกองทุนฯมาบริหารจัดการ แต่ก็ยังไปไม่ถึงไหนไม่เท่านั้น มีการเปิดข้อมูลตัวเลข “หนี้สหกรณ์” ที่เป็นการชี้ให้เห็นว่าเรื่องนี้จะเป็นระเบิดเวลาอีกลูกสำหรับเศรษฐกิจไทย โดยปัจจุบันพบว่าสหกรณ์ออมทรัพย์ มีมูลค่าการให้กู้ยืมมากที่สุดถึง 2.27–2.70 ล้านล้านบาท คิดเป็น 90 เปอร์เซ็นต์ของ สหกรณ์ทุกประเภท และหนี้สหกรณ์คิดเป็น 15% ของหนี้สินครัวเรือนทั้งหมดและยังมีแนวโน้มหนี้จากการกู้ยืม เพิ่มขึ้น เนื่องจากเป็นกลไกการเงินที่เข้าถึงง่าย มีส่วนสำคัญในการออม และเป็นแหล่งเงินกู้ขนาดใหญ่สำหรับสมาชิกจำนวนหลายล้านราย แม้จะเป็นรองจากสถาบันการเงินหลัก แต่มีการดำเนินงานที่เป็นอุปสรรคต่อการแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือน และถือว่าเป็นความเสี่ยงเศรษฐกิจอย่างมากนายดนุชา พิชยนันท์ เลขาธิการ สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) กล่าวว่า การกู้ยืมเงินจากสหกรณ์ส่วนใหญ่ไม่ตรวจสอบเครดิตหรือภาระหนี้ ไม่เชื่อมโยงข้อมูลเครดิตบูโรเพื่อวิเคราะห์ความเสี่ยง มีการกำหนดดอกเบี้ยเงินกู้สูง หักเงินเดือนของผู้ที่กู้ยืมจนเหลือน้อย ทำให้ต้องกู้มากขึ้น อาจนำไปสู่การกู้นอกระบบและยังพบด้วยว่าสหกรณ์ส่วนใหญ่ ขาดแรงจูงใจแก้ปัญหาหนี้ มีสหกรณ์เพียง 400 กว่าแห่งเท่านั้นที่เข้าร่วมโครงการแก้หนี้ ทั้งนี้ที่ผ่านมามีหลายหน่วยงานที่พยายามหาทางแก้ไขปัญหา มีการออกมาตรการและแนวทางแก้ปัญหาหนี้สิน ให้ข้อแนะนำ การปรับปรุงแก้ไขกฎหมายสหกรณ์ แต่ทั้งหมดยังมีข้อจำกัดหลายๆด้านถึงตรงนี้ เห็นด้วยที่ สศช.มีข้อเสนอ ให้แก้ปัญหาสหกรณ์ทั้งระบบ โดยเฉพาะการปรับแก้กฎหมาย กฎกระทรวง ออกระเบียบชัดเจน บังคับใช้จริงจัง เพื่อพัฒนามาตรฐานสหกรณ์ให้เทียบเท่าสถาบันการเงิน สร้างกลไกป้องกันความเสียหายที่จะกระทบเสถียรภาพการเงินโดยรวม ที่สำคัญไม่เสี่ยงเป็นระเบิดอีกลูกต่อเศรษฐกิจไทย.คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม