ผบ.ทบ.สั่งจัดการโดรนไม่ทราบฝ่าย ทหาร-ตร.ใช้อาวุธยิงได้ทันทีหากพบเป็นภัยคุกคามร้ายแรงต่อประชาชนและความมั่นคง พร้อมแจง 3 ภาษา “ไทย จีน อังกฤษ” การใช้โดรนในลักษณะสอดแนม จารกรรม มีโทษถึงขั้นประหารชีวิต ขณะที่โฆษกกองทัพบกชี้แจงกรณีช่องอานม้า ย้ำควบคุมพื้นที่ได้เพิ่มขึ้น รวมถึงจุดยุทธศาสตร์สำคัญ ขณะเดียวกันอีโอดีเข้าเก็บกู้กระสุนปืนใหญ่ BM-21 จากทหารกัมพูชา พบตกใส่เกลื่อนหลายจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ที่ถนนบ้านน้ำเย็น-บ้านผือ กันทรลักษ์ ไม่ไกลจากปั๊ม ปตท.บ้านน้ำเย็น ต้องจุดชนวนระเบิดทิ้ง ส่วนการประชุมจีบีซีสัปดาห์นี้ “จีน สหรัฐฯ มาเลเซีย” ร่วมสังเกตการณ์หลังจากทหารไทยกับทหารกัมพูชาหยุดยิงเป็นวันที่ 5 ในวันที่ 2 ส.ค. แต่ปรากฏว่าหลายวันที่ผ่านมา กลับปรากฏโดรนปริศนาบินว่อนเหนือฟ้าหลายจังหวัดชายแดนไทย-กัมพูชา ทำให้กองทัพไทยต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษทบ.จัดชุดสกัดโดรนไม่ทราบฝ่ายทั้งนี้ พ.อ.ริชฌา สุขสุวานนท์ รองโฆษกกองทัพบก กล่าวว่า ตามที่สำนักงานการบินพลเรือนแห่งประเทศไทยออกประกาศห้ามผู้ใดบังคับหรือปล่อยโดรนที่ควบคุมการบินจากภายนอกทุกพื้นที่ทั่วราชอาณาจักรโดยเด็ดขาด เพื่อป้องกันผลกระทบต่อความมั่นคงประเทศจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา โดยให้หน่วยงานความมั่นคงมีอำนาจใช้ระบบต่อต้านโดรน และทำลายโดรนจากภาคพื้นดินได้ทันทีว่า พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผบ.ทบ. สั่งการศูนย์ปฏิบัติการกองทัพภาค 1 ถึง 4 และกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 1 ถึง 4 ดำเนินตามแนวทางดังนี้ ให้กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด มีรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัด (ฝ่ายทหาร) รับผิดชอบหารือ ประสานส่วนราชการ และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง ให้ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาคทำหน้าที่ควบคุม วางแผนป้องกันและต่อต้านการใช้โดรนไม่ทราบฝ่ายร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่ พร้อมจัดตั้งชุดเคลื่อนที่เร็ว ประกอบด้วยกำลังจากฝ่ายพลเรือน ตำรวจจากสถานีตำรวจภูธร สารวัตรทหารดำเนินการสกัดกั้น ติดตามจับกุมผู้ใช้โดรนไม่ทราบฝ่ายทหาร–ตร.ใช้อาวุธยิงได้ทันทีพ.อ.ริชฌากล่าวว่า แนวทางการใช้อาวุธต่อต้านโดรนมีดังนี้ 1.กรณีมีการใช้อาวุธก่อนหรือพบพฤติการณ์เป็นภัยคุกคามร้ายแรงที่อาจกระทบต่อชีวิตกำลังพลและประชาชน รวมถึงอธิปไตย และผลประโยชน์ชาติ ให้หน่วยที่วางกำลังตามแนวชายแดนใช้อาวุธประจำกายหรือประจำหน่วย ตอบโต้ภัยคุกคามได้ทันที 2.กรณีตรวจพบในพื้นที่กองทัพภาค 1 และ 2 พื้นที่แนวหน้า สามารถใช้ทั้งมาตรการ Soft Kill และ HardKill ได้ พื้นที่ส่วนหลังให้ใช้ Soft Kill เป็นลำดับแรก หากไม่สามารถดำเนินการได้ให้ใช้ Hard Kill ใช้อาวุธที่มีความแม่นยำสูง ไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตทรัพย์สินประชาชน 3.กรณีตรวจพบในพื้นที่กองทัพภาค 3 และ 4 เน้นการใช้มาตรการ Soft Kill ก่อนลำดับแรก หากสถานการณ์จำเป็นให้ใช้มาตรการ Hard Kill ตามความเหมาะสม การใช้อาวุธถือเป็นความรับผิดชอบหลักของเจ้าหน้าที่ตำรวจ หน่วยทหารสามารถใช้อาวุธได้เฉพาะในขอบเขตที่ตั้ง และพื้นที่รับผิดชอบของหน่วย ใช้อาวุธมีความแม่นยำสูง ไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชน หากประชาชนพบเห็นหรือทราบเบาะแสการบังคับหรือปล่อยโดรนที่ฝ่าฝืนประกาศ แจ้งข้อมูลที่สายด่วนความมั่นคง 1374 ตลอด 24 ชั่วโมงขู่โทษหนักขั้นประหารชีวิตผู้สื่อข่าวรายงานว่า นอกจากนี้กองทัพบกจัดทำกราฟิกอธิบายข้อความ 3 ภาษา ได้แก่ ไทย จีน อังกฤษ ระบุว่าห้ามบินโดรนทุกกรณี ภัยเงียบจากฟ้าอาจเท่ากับภัยต่อแผ่นดิน การใช้โดรนในลักษณะสอดแนม จารกรรมข้อมูลลับ เช่น บินเหนือพื้นที่ทหาร พรมแดน หน่วยงานราชการ บันทึกภาพ เสียง สัญญาณเพื่อส่งให้ต่างชาติ ดัดแปลงติดอุปกรณ์พิเศษ เช่น กล้องอินฟราเรด เครื่องดักฟัง เข้าข่ายความผิดจารกรรมสายลับ กระทบความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร มีบทลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 122 (3) พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ร.บ.การเดินอากาศ จำคุกตลอดชีวิตหรือประหารชีวิต หากมีเจตนา พฤติการณ์ร้ายแรงทหารแจงตรึงกำลังช่องอานม้าด้าน พล.ต.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ชี้แจงกรณีพื้นที่ช่องอานม้า ว่า พื้นที่ดังกล่าวก่อนเกิดเหตุปะทะ วันที่ 28 ก.ค. กำลังทหารฝ่ายไทยไม่เคยเข้าไปในพื้นที่บริเวณอนุสาวรีย์ตาอมได้ เนื่องจากกัมพูชาวางกำลังตรึงพื้นที่ฝ่ายเดียวมาตลอด แต่หลังปะทะและหยุดยิง ไทยเข้าพื้นที่ได้ตามเงื่อนไขที่ทหารทั้ง 2 ฝ่ายตกลงกัน กรณีวันที่ 30 ก.ค. กองทัพกัมพูชานำคณะทูตทหาร 13 ประเทศ ไปสังเกตการณ์ในพื้นที่จะพบว่าพื้นที่อนุสาวรีย์ตาอม ขณะนั้นมีทหารไทยควบคุมพื้นที่อยู่มีข้อตกลงร่วมกัน 4 ข้อโฆษกกองทัพบกชี้แจงอีกว่า แต่ด้วยแนวปฏิบัติร่วมในพื้นที่อ้างสิทธิ์บริเวณช่องอานม้า หน่วยทหารในพื้นที่ 2 ฝ่าย ตกลงแนวทางปฏิบัติร่วมกันดังนี้ 1.จัดกำลังฝ่ายละ 5 นาย แต่ละฝ่ายส่งเจ้าหน้าที่ 5 นาย เข้าไปในพื้นที่ร่วม พื้นที่ที่ต่างฝ่ายต่างอ้างสิทธิ์ 2.ไม่มีการพกพาอาวุธ เจ้าหน้าที่ทุกนายงดเว้นการพกอาวุธขณะปฏิบัติภารกิจ 3.มีการลาดตระเวนร่วมกันทั้ง 2 ฝ่าย ร่วมเดินลาดตระเวนบริเวณรอบตาอม (ฝั่งกัมพูชา) พื้นที่ใกล้เคียง เป็นเวลา 15 นาทีต่อครั้ง 4.ไม่จำกัดช่วงเวลาการเข้า-ออกพื้นที่ สามารถเข้าปฏิบัติภารกิจลาดตระเวนได้ตลอดเวลายันไทยคุมยุทธศาสตร์สำคัญได้พล.ต.วินธัยกล่าวว่า ปัจจุบันกองทัพไทยควบคุมพื้นที่ได้เพิ่มขึ้นหลายพื้นที่ ผลักดันกำลังฝ่ายกัมพูชาออกจากพื้นที่ที่รุกล้ำอธิปไตยไทยได้สมบูรณ์ เข้ายึดพื้นที่จุดยุทธศาสตร์ทางทหารที่สำคัญได้หลายจุด เมื่อยึดพื้นที่ได้แล้ว ฝ่ายไทยจัดกำลังตรึงพื้นที่เฉพาะในเขตที่มั่นใจเป็นดินแดนไทย ครอบครองได้โดยชอบธรรม รักษาความได้เปรียบทางยุทธวิธี ป้องกันการกระทบกระทั่งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตให้สหรัฐฯ–จีนร่วมประชุมจีบีซีขณะที่ พล.ร.ต.สุรสันต์ คงสิริ โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม รักษาการ รมว.กลาโหม ทำหนังสือตอบรับให้ 3 ประเทศ จีน สหรัฐอเมริกา และมาเลเซีย เข้าร่วมสังเกตการณ์การประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา (จีบีซี) โดยระหว่างวันที่ 4-6 ส.ค.นี้ จะเป็นการประชุมฝ่ายเลขาฯ เพื่อเตรียมข้อมูล ประเด็นหารือ และงานด้านธุรการ วาระสำคัญคือการแก้ปัญหาสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาให้เรียบร้อย เป็นเรื่องที่สืบเนื่องจากการหารือระหว่าง ผบ.หน่วยทหาร 2 ฝ่าย โดยฝ่ายไทยขอเวลาคุยกันก่อน 3 วัน เพราะเนื้อหาค่อนข้างมาก เพื่อเตรียมการก่อนประชุมหลักในวันที่ 7 ส.ค.ครั้งนี้เป็นการยกระดับมาคุยกันระดับนโยบาย และไม่กระทบหลักการการหารือทวิภาคีกต.ลุยแจงทูตโต้ข้อมูลบิดเบือนด้าน น.ส.ชยิกา วงศ์นภาจันทร์ ที่ปรึกษา รมว.ต่างประเทศ กล่าวว่า วันที่ 4 ส.ค. กระทรวงการต่างประเทศจะชี้แจงเชิงรุกต่อ ภายหลังนำคณะทูตลงพื้นที่ให้เห็นถึงความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อพลเรือนแล้ว จะ นำข้อมูลข้อเท็จจริงดังกล่าวมาชี้แจงข้อเท็จจริงต่อเอกอัครราชทูต ผู้แทนสถานทูตต่างประเทศประจำประเทศไทย และในสัปดาห์เดียวกัน นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.ต่างประเทศ จะประชุมออนไลน์ร่วมกับเอกอัครราชทูตไทย กงสุลใหญ่ไทย ผู้แทนไทยประจำต่างประเทศทั่วโลก ย้ำแนวทางประเทศไทยต่อนานาชาติ ตอบโต้ข้อมูลบิดเบือนในพื้นที่ต่างๆ แม้การโจมตีทางทหารหยุดแล้ว แต่การโจมตีด้วยข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือนยังไม่หยุดทอ.เติมเครื่องบินโจมตีทางอากาศต่อมาผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 7 ส.ค.กองทัพอากาศเตรียมทำพิธีบรรจุประจำการเครื่องบินโจมตีเบาแบบ AT-6 ที่เป็นเครื่องบินโจมตีแบบที่ 8 ของกองทัพอากาศเข้าประจำการ 8 เครื่อง เพื่อใช้ในภารกิจโจมตีทางอากาศ การบินลาดตระเวนตรวจการณ์พื้นที่ชายแดน โดยเครื่องบิน AT-6 TH จำนวน 8 ลำ จากสหรัฐอเมริกา วงเงิน 4.6 พันล้านบาท จากบริษัท Textron Aviation Defense LLC สหรัฐอเมริกาเป็นโครงการผูกพันงบประมาณ 5 ปี ระหว่างปี 2564-2568 พร้อมอุปกรณ์อะไหล่ ระบบสนับสนุนการฝึกอบรม และอุปกรณ์อื่นๆถูกออกแบบมาเพื่อรองรับภารกิจการบินสนับสนุนทางอากาศโดยใกล้ชิด การลาดตระเวนรบติดอาวุธ การโจมตีทางอากาศ การเฝ้าระวัง การข่าวกรองและการลาดตระเวน การบินค้นหาช่วยชีวิตในพื้นที่การรบ การสนับสนุนการบรรเทาสาธารณภัย การถ่ายภาพภัยพิบัติ การสนับสนุนปฏิบัติการบินควบคุมไฟป่า และรักษาผลประโยชน์แห่งชาติกับหน่วยงานอื่นๆรพ.ตาพระยากลับมาให้บริการสำหรับยอดประชาชนเสียชีวิต บาดเจ็บ จากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา นพ.วรตม์ โชติ พิทยสุนนท์ โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ระบุว่า ข้อมูล ณ วันที่ 2 ส.ค. พลเรือนเสียชีวิตทางตรงจากเหตุการณ์ความรุนแรง 14 รายเท่าเดิม เสียชีวิตทางอ้อมโดยทำร้ายตัวเองเสียชีวิต 1 ราย บาดเจ็บสะสม 38 ราย แบ่งเป็นอาการสาหัส 12 ราย อาการบาดเจ็บปานกลาง 13 ราย บาดเจ็บเล็กน้อย 13 ราย ขณะนี้รักษาตัวในโรงพยาบาล 9 ราย เป็นผู้ที่มีอาการสาหัส 6 ราย อาการปานกลาง 3 ราย ส่วนสถานพยาบาลที่ได้รับผลกระทบสะสม 20 แห่งเท่าเดิม มีสถานพยาบาล กลับมาให้บริการ 4 แห่ง ที่เพิ่มขึ้นคือ รพ.ตาพระยา จ.สระแก้ว ส่วนศูนย์พักพิงลดลง 22 แห่ง กลุ่มเปราะบางลดลง 2,671 ราย สำหรับการคัดกรองสุขภาพจิตประชาชนสะสม 63,156 ราย มีความเครียดสูงสะสม 4,187 ราย มีความเสี่ยงฆ่าตัวตายสะสม 280 รายตชด.ยังอยู่ รพ.3 นายส่วนที่ บช.ตชด. วันเดียวกัน พล.ต.ท.นิตินัย หลังยาหน่าย ผบช.ตชด. เปิดเผยว่า ขอขอบคุณทุกกำลังใจจากประชาชนทั่วประเทศ ที่ส่งมาถึงตำรวจตระเวนชายแดน ทุกคำขอบคุณจากประชาชนทำให้ตำรวจตระเวนชายแดนมีพลังใจที่เข้มแข็ง มีขวัญกำลังใจ พร้อมจะปฏิบัติภารกิจเพื่อปกป้องประเทศ รักษาอธิปไตยของชาติและดูแลประชาชนต่อไป สำหรับการปฏิบัติการปกป้องอธิปไตยของประเทศในครั้งนี้ กำลังพลของ ตชด.ได้รับบาดเจ็บ 14 นาย แบ่งเป็นบาดเจ็บจากสถานการณ์จำนวน 10 นาย และบาดเจ็บจากเหตุเกี่ยวเนื่องจากสถานการณ์จำนวน 4 นาย ปัจจุบันยังคงรักษาตัวในโรงพยาบาล 3 นาย อีก 11 นาย ได้กลับไปพักฟื้นและอาการดีขึ้นตามลำดับเหยื่อบึมกัมพูชาได้รายละ 1 ล้านสำหรับสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดน เมื่อช่วงสายวันที่ 2 ส.ค. ที่ห้องประชุม ชั้น 4 ศาลากลางจังหวัดศรีสะเกษ นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายก รัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (รมว.ดีอี) เป็นประธานประชุมมอบนโยบาย และมอบเงินช่วยเหลือครอบครัวผู้เสียชีวิตจากสถานการณ์ความไม่สงบด้านชายแดนไทย-กัมพูชา มีนายอนุพงศ์ สุขสมนิตย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดศรีสะเกษ พร้อมหัวหน้าส่วนราชการ และญาติผู้สูญเสียจากความไม่สงบด้านชายแดนไทย-กัมพูชา จากเหตุระเบิดตกใส่ร้านสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมัน ปตท.บ้านน้ำเย็น ต.เมือง อ.กันทรลักษ์ มีประชาชนเสียชีวิต 7 ราย ในจำนวนนี้เป็นเด็กหญิงวัยเพียง 8 ขวบ ตามด้วยในสวนยางด้านหลังปั๊มน้ำมันอีก 1 ราย และตกใส่บ้านเรือนประชาชน ใน ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ อีก 1 ราย รวมผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 9 ราย มีการนำเงินของกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี มามอบให้รายละ 1 ล้านบาท รวม 9 ล้านบาท และมอบเงินค่าจัดการศพผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉินอีกรายละ 29,700 บาท นายประเสริฐได้สั่งการสํานักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ จ.ศรีสะเกษ เร่งรวบรวม เอกสารผู้ประสบภัยให้ครบถ้วนโดยด่วน และให้ ผวจ.ศรีสะเกษติดตามการเบิกจ่ายเร่งด่วน ตลอดจนให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งสำรวจโครงสร้างพื้นฐาน ถนน โรงพยาบาล โรงเรียน วัด บ้านเรือนประชาชน แหล่งโบราณสถาน โบราณวัตถุ เพื่อช่วยเหลือต่อไปร่วมวางดอกไม้ไว้อาลัยผู้ตายจากนั้น รมว.ดีอีเดินทางไปที่บริเวณหน้าเซเว่นอีเลฟเว่น ภายในปั๊มน้ำมัน ปตท.บ้านน้ำเย็น ต.เมือง อ.กันทรลักษ์ เพื่อร่วมพิธีวางดอกไม้เพื่อ รำลึกและไว้อาลัยแด่ผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมา ที่ทหารกัมพูชายิงจรวด BM-21 ข้ามพรมแดนเข้ามายังฝั่งไทย ตกใส่บริเวณร้านสะดวกซื้อในปั๊มน้ำมัน มีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุทันทีหลายราย ผู้บาดเจ็บสาหัสจำนวนมาก ซึ่งบรรยากาศในพิธีเป็นไปด้วยความโศกเศร้า ประชาชนจำนวนมากนำดอกไม้หลากสี โดยเฉพาะดอกไม้สีขาวและเหลือง มาวางที่จุดเกิดเหตุเพื่อรำลึกถึงผู้เสียชีวิต และร่วมยืนสงบนิ่งเพื่อแสดงความเคารพและไว้อาลัย เป็นเวลา 1 นาที ซึ่งหลายรายถึงกับน้ำตาไหลอาบแก้มด้วยความสะเทือนใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเรียกร้องความยุติธรรมให้เหยื่อนอกจากนี้ ชาวบ้านบางรายได้เขียนข้อความลงในกระดาษแล้วชูขึ้น พร้อมดอกไม้ในมือ มีข้อความว่า “ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวผู้เสียชีวิต” และ “กัมพูชายิงประชาชนไทยอย่างไร้มนุษยธรรม” เพื่อแสดงจุดยืนว่าประชาชนไทยตกเป็นฝ่ายถูกกระทำอย่างไร้เหตุผล และเรียกร้องให้โลกเห็นถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ ทั้งนี้ ชาวบ้านในพื้นที่กล่าวทั้งน้ำตาว่า ยังจำเสียงระเบิดวันนั้นได้ไม่ลืม พอรู้ว่ามีคนตายอยู่ตรงนี้ ก็สั่นไปทั้งตัว วันนี้มาวางดอกไม้ให้พวกเขา ขอให้ดวงวิญญาณไปสู่สุคติอีโอดีทำลายระเบิดกัมพูชาจากนั้นในเวลา 14.35 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หน่วยเก็บกู้วัตถุระเบิด (EOD) ร่วมกับหน่วยปฏิบัติการพิเศษ TMAX ได้เข้าทำลายจรวด BM-21 ของกองทัพกัมพูชา ที่ยิงมาตกที่กลางถนนระหว่างบ้านน้ำเย็น-บ้านผือ ต.เมือง อ.กันทรลักษ์ การดำเนินการครั้งนี้นับเป็นการทำลายระเบิดลูกแรกในจุดที่ตกลงกลางถนน อยู่ในรัศมีไม่เกิน 500 เมตร จากปั๊มน้ำมัน ปตท.จุดที่เกิดเหตุการณ์ระเบิดอย่างรุนแรง เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคมที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ได้ปิดกั้นถนนในรัศมี 1 กิโลเมตร รอบจุดเกิดเหตุ มีการตั้งแนวรั้วและกั้นพื้นที่อย่างเข้มงวดเพื่อความปลอดภัยและความสะดวกในการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ จากนั้น หน่วยอีโอดีได้ใช้เครื่องมือพิเศษจุดชนวนระเบิดอย่างปลอดภัย หลังจากการทำลายเจ้าหน้าที่ได้เข้าเคลียร์พื้นที่และเก็บหลักฐาน ได้แก่ ซากชิ้นส่วนของจรวด เศษโลหะ และร่องรอยการกระแทกที่อยู่ในพื้นที่ เพื่อนำไปตรวจสอบเชิงเทคนิคและใช้เป็นหลักฐานประกอบการรายงานทางวิทยาการ ขณะที่ หน่วยปฏิบัติการยังคงเร่งสแกนพื้นที่โดยรอบอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อค้นหาชิ้นส่วนอื่นที่อาจกระจายอยู่ รวมถึงประเมินความจำเป็นในการดำเนินการทำลายระเบิดในจุดอื่นเพิ่มเติม เนื่องจากการลาดตระเวนทางอากาศและการข่าวก่อนหน้านี้ พบว่ามีลูกระเบิดตกกระจายอยู่หลายจุดในพื้นที่ อ.กันทรลักษ์โดรนยังบินเหนือฟ้าชายแดนสำหรับสถานการณ์ในพื้นที่ อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ เมื่อวันที่ 2 ส.ค. ผู้สื่อข่าวรายงานว่าผู้อพยพ เริ่มทยอยกลับบ้านบ้างแล้ว แม้เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ยังไม่ได้อนุญาตให้กลับบ้าน เนื่องจากต้องรอการตรวจสอบและเก็บกู้ลูกกระสุนปืนใหญ่ที่ทหารกัมพูชายิงเข้ามาในหลายพื้นที่ให้เสร็จสิ้น และให้รอดูสถานการณ์ สักระยะก่อน ขณะที่เมื่อคืนที่ผ่านมาชาวบ้านยังคงพบโดรนบินขึ้นในหลายพื้นที่ทั้งอำเภอชายแดน อ.ปราสาท และ อ.เมืองสุรินทร์ ในจุดเดิม แต่ไม่มากเหมือนสองวันก่อนกมธ.ก.ม.ดูจุดระเบิดตกวันเดียวกัน นายรุจิภาส มีกุศล สมาชิกวุฒิสภา จ.สุรินทร์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการการ กฎหมายและการยุติธรรม วุฒิสภา พร้อมคณะที่ปรึกษาสมาชิกวุฒิสภาและผู้ช่วย เดินทางมาที่ชายแดน ต.บักได อ.พนมดงรัก จ.สุรินทร์ เพื่อมอบสิ่งของจำเป็นและให้กำลังใจกับทหารแนวหน้าในพื้นที่ปราสาท ตาควาย ผ่านนายณัฐพัชร์ บุญมี นายก อบต.บักได พร้อมรับฟังปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนและเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ รวมทั้งปัญหาเกี่ยวกับการขาดแคลนบุคลากรในการทำงานของ อบต.บักได จากนั้นนายก อบต.บักได พาคณะ สว.สุรินทร์ ไปดูพื้นที่ที่ลูกกระสุนปืนใหญ่ที่คาดว่าน่าจะถูกยิงมาจากจรวด BM-21 ของทหารกัมพูชา มาตกกลางถนนลาดยาง เป็นเส้นทางผ่านสวนยางของชาวบ้าน ในพื้นที่หมู่บ้านหนองตาเลิบ ต.บักได โดยกระสุนปืนใหญ่ตกกลางถนนลาดยางเสียหายเป็นบริเวณกว้าง 2 จุด ห่างกันประมาณ 10 เมตร และอยู่ระหว่างหน่วยอีโอดีมาตรวจสอบและเก็บกู้ นอกจากนี้ ห่างออกไปอีกราว 350 เมตร พบกระสุนปืนที่คาดว่าเป็นชุดเดียวกัน ตกลงกลางสวนยางพาราและถนนลาดยางอีก 2 จุด ห่างกันประมาณ 20 เมตร ทำให้ต้นยางหักโค่นเสียหายเป็นจำนวนมาก รอหน่วยอีโอดีเข้ามาเก็บกู้เช่นกันกระสุนกัมพูชาตกบุรีรัมย์อื้อส่วนที่ จ.บุรีรัมย์ นายอนุทิน ชาญวีรกูล อดีตรองนายกรัฐมนตรีและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เดินทางไปตรวจสอบและตรวจเยี่ยมตำรวจชุดอีโอดีที่กำลังเร่งเก็บกู้ซากลูกจรวด BM-21 ที่ทหารฝั่งกัมพูชายิงเข้ามาในพื้นที่ของพลเรือนในเขต อ.บ้านกรวด และ อ.ละหานทราย จ.บุรีรัมย์ ตั้งแต่วันที่ 24-29 ก.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งยิงเข้ามาในพื้นที่ฝั่งจังหวัดบุรีรัมย์ ร่วม 240 ลูก โดยนายอนุทินกล่าวว่าสถานการณ์การปะทะตามชายแดนเท่าที่ทราบจากนายอำเภอแต่ละพื้นที่ว่าผู้ที่อยู่ในศูนย์อพยพ ขอให้อยู่ตรงจุดนั้นก่อน จนกว่าจะถึงวันที่ 4 ส.ค. แม้สถานการณ์ขณะนี้ถือว่าดีขึ้น การยิงของฝ่ายกัมพูชาไม่มีแล้ว แต่ยังมีสิ่งที่เฝ้าระวังอีกอย่างหนึ่งคือโดรนปริศนาที่บินว่อนอยู่ในเขตไทยในตอนนี้ อาจจะบินเข้ามาก่อกวนหรือสอดแนมอะไรต่างๆ ยังไม่มีใครรู้ ต้องรอฝ่ายความมั่นคงก่อนมอบเงินครอบครัวทหาร 1 ล้านต่อมาในเวลา 15.00 น. ที่วัดบ้านยางโป่งสะเดา ต.ตาจง อ.ละหานทราย มีพิธีพระราชทานเพลิงศพพลทหารธีรยุทธ กระจ่างทอง ที่เสียชีวิตจากการปะทะกับทหารกัมพูชาเมื่อวันที่ 29 ก.ค. ที่ อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ส่วนที่วัดสายทอง อ.สีชมพู จ.ขอนแก่น เวลา 16.00 น. พลเอกเอกรัตน์ ช้างแก้ว ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพบก พร้อมด้วยนายสุชาติ ตันเจริญ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีพระราชทานเพลิงศพ พลทหารสิรวิชญ์ ภิญโญสุข เสียชีวิตจากเหตุการณ์ปะทะกันระหว่างไทย-กัมพูชา ในการนี้ พล.อ.เอกรัตน์มอบเงินพระราชทานจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี แก่ครอบครัวพลทหารสิรวิชญ์ 5 หมื่นบาท และเงินบำรุงขวัญจากผู้บัญชาการทหารบก 4 หมื่นบาท และมอบเงินสินไหมทดแทนจากกองทัพบก 8 แสนบาท ขณะที่นายสุชาติ เป็นผู้แทนรัฐบาลมอบเงินกองทุนช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี จำนวน 1 ล้านบาท ให้กับครอบครัวผู้เสียชีวิตด้วย นอกจากนี้ สส.เพื่อไทยในพื้นที่เป็นตัวแทนนายทักษิณ ชินวัตร มอบเงินช่วยเหลือครอบครัวพลทหารสิรวิชญ์ 2 แสนบาท และจากนายเศรษฐา ทวีสิน2หมื่นบาทผู้ค้าเริ่มเปิดร้านตลาดโรงเกลือสำหรับที่ตลาดการค้าชายแดนตลาดโรงเกลือ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว แม้จะยังอยู่ในภาวะความตึงเครียดจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา แต่เริ่มเห็นสัญญาณฟื้นตัว เมื่อผู้ค้าในตลาดโรงเกลือ โดยเฉพาะแรงงานชาวกัมพูชา เริ่มกลับมาเปิดร้านค้ากันมากขึ้น ขณะเดียวกัน บริเวณจุดตรวจหนังสือเดินทางขาออก ยังมีชาวกัมพูชาราว 100 คน มารอข้ามแดนกลับประเทศ ส่วนใหญ่มาจากพื้นที่ตอนในของประเทศไทย เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.คลองลึก ระบุว่าหลายคนถูกชักชวนโดยญาติและพ่อแม่พี่น้องให้เดินทางกลับ เนื่องจากเป็นห่วงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างไทยและกัมพูชา และอีกประเด็นคือความกังวลเรื่องความปลอดภัยและเกรงว่าจะเกิดความไม่พอใจจากฝั่งไทยจับชายกัมพูชาทำตัวมีพิรุธช่วงเย็นวันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะที่ เจ้าหน้าที่ ตม.สระแก้ว ออกตรวจภายในตลาดโรงเกลือ ตลาดการค้าชายแดน อ.อรัญประเทศ ได้ตรวจพบชายคล้ายชาวกัมพูชามีพฤติกรรมต้องสงสัย ยืนลับๆ ล่อๆอยู่บริเวณด้านหลังร้านสะดวกซื้อ ข้างสถานีรถไฟคลองลึก อ.อรัญประเทศ เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ ชายคนดังกล่าวพยายามเดินหลบหนี แต่เจ้าหน้าที่สามารถเข้าควบคุมตัวไว้ได้ ทราบในเวลาต่อมาเป็นชาวกัมพูชา ชื่อนายซก เต็ก อายุ 34 ปี ตรวจค้นในตัวไม่พบหนังสือเดินทางหรือเอกสารอนุญาตทำงานในประเทศ ไทย เบื้องต้นนายซก เต็ก อ้างว่า ทำงานอยู่ใน กทม.กำลังจะเดินทางกลับกัมพูชา เนื่องจากญาติโทร.ตามให้กลับ เจ้าหน้าที่จึงคุมตัวนายซก เต็ก มาที่อาคารที่พักรอการส่งกลับแรงงานต่างด้าว ที่ทำการ ตม. สระแก้ว ตรวจสอบอย่างละเอียดพบว่าเป็นบุคคลอยู่เกินกำหนดอนุญาตเป็นเวลา 604 วัน แต่สอบสวนเชิงลึกไม่พบว่าเป็นสายลับ ส่งตัวให้พนักงานสอบสวน สภ.คลองลึก จ.สระแก้ว ดำเนินคดีต่อไปคนไทยเศร้าในชะตากรรมชาติวันเดียวกัน ผศ.นพดล กรรณิกา ผู้อำนวยการสำนักวิจัยซูเปอร์โพลฯ กล่าวว่า สำนักวิจัยซูเปอร์โพลสำรวจความคิดเห็นในประเด็น “ความสูญเสียของคนไทย” ที่จัดทำขึ้นระหว่างวันที่ 29 ก.ค.-1 ส.ค.2568 จำนวนทั้งสิ้น 1,132 ตัวอย่าง โดยเมื่อถามถึงความรู้สึก ส่วนใหญ่หรือร้อยละ 94.6 รู้สึกโศกเศร้าและสะเทือนใจ แสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์นี้ไม่ได้ส่งผลเพียงในเชิงกายภาพ แต่สร้างบาดแผลทางอารมณ์แก่คนไทยในทุกพื้นที่ ความรู้สึกเศร้าเป็นภาวะร่วมทางสังคมที่บ่งชี้ถึงการมีส่วนร่วมทางอารมณ์ในชะตากรรมของชาติ ในขณะที่ ร้อยละ 89.2 รู้สึกถึงความสูญเสียของคนไทยในเหตุการณ์นี้ ซึ่งรวมถึงชีวิต ทรัพย์สิน และศักดิ์ศรีของชาติ และร้อยละ 87.3 รู้สึกโกรธและเจ็บปวด ซึ่งเป็นอารมณ์ที่สะท้อนถึงความรู้สึกไม่เป็นธรรมและการถูกคุกคามจากการกระทำของฝ่ายตรงข้ามให้ดำเนินคดีฆาตกรสงครามที่น่าสนใจคือ เมื่อถามถึงความต้องการของประชาชน พบว่า ร้อยละ 95.7 เรียกร้องให้รัฐบาลไทยและประชาคมโลกดำเนินคดีต่อผู้ก่อการในศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) ในข้อหาอาชญากรรมสงครามและการสังหารหมู่พลเรือน แสดงถึงระดับความตื่นตัวของประชาชนไทยต่อกลไกความยุติธรรมสากล ในขณะที่ ร้อยละ 90.3 เห็นว่าผู้สั่งการยิงพื้นที่พลเรือนไทยควรถูกตราหน้าเป็นฆาตกรสงคราม ไม่ใช่คู่เจรจาทางการเมือง ซึ่งแสดงจุดยืนที่ชัดเจนของประชาชนในการปฏิเสธการให้ความชอบธรรมแก่ผู้ใช้อำนาจละเมิดสิทธิมนุษยชน และส่วนใหญ่หรือร้อยละ 88.1เรียกร้องให้มีการเปิดเผยรายชื่อผู้บาดเจ็บและเสียชีวิตอย่างเป็นทางการ และจัดพิธีสดุดีผู้เสียสละในนามของชาติ เพื่อให้ประชาชนได้ร่วมไว้อาลัยและรับรู้ความจริงหนุน รบ.ทำบุญประเทศที่น่าพิจารณาคือ ความคิดเห็นต่อการทำบุญประเทศและการระลึกถึงผู้สูญเสีย คำถามนี้มุ่งวัดความเห็นเชิงจิตวิญญาณและวัฒนธรรมของประชาชนในการเยียวยาสังคมโดยรวม พบว่าส่วนใหญ่หรือร้อยละ 97.8 สนับสนุนให้ “รัฐบาลประกาศจัดวันทำบุญประเทศ” เพื่ออุทิศส่วนกุศลแก่ทหารกล้า พลเรือนผู้บริสุทธิ์ เด็ก ผู้สูงอายุ และผู้พิการที่เสียชีวิตจากเหตุการณ์ ในขณะที่ ร้อยละ 89.4 เห็นว่า “พิธีทำบุญควรจัดทั่วประเทศและให้สถานศึกษาทุกแห่งร่วมไว้อาลัย” เพื่อปลูกฝัง “ความรักชาติ” และ “บทเรียนจากสันติภาพและการสู้รบ” แก่เยาวชน และร้อยละ 86.2 สนับสนุนให้มีการสร้าง “อนุสรณ์สถานแห่งเกียรติยศ” ในพื้นที่ชายแดน เพื่อเตือนใจถึงความเสียสละของผู้บริสุทธิ์อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่