วันจันทร์ 26 พ.ค. กลุ่มบริษัทของ เจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี 3 บริษัท ประกอบด้วย บมจ.เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ (BJC) บมจ.แอสเสท เวิรด์ คอร์ป (AWC) และ บมจ.ไทยกรุ๊ป โฮลดิ้งส์ (TGH) ได้แจ้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเรื่อง การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นรายใหญ่ โดยทั้ง 3 บริษัทระบุว่าได้รับแจ้งจาก คุณเจริญ สิริวัฒนภักดี ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัท เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นของบริษัทดังนี้“เมื่อวันที่ 26 พฤษภาคม 2568 คุณเจริญฯได้ดำเนินการโอนหุ้นที่ตนถืออยู่ทั้งหมดในบริษัท ศรัทธาทรัพย์ 9 จำกัด (ซึ่งเป็นบริษัทที่มีอำนาจควบคุมกิจการของบริษัทฯ (3 แห่ง) ทางอ้อม) ให้แก่สมาชิกในครอบครัวของคุณเจริญ ได้แก่ บุตรทั้งห้าคน ในสัดส่วนเท่าๆกันทั้งนี้ ไม่มีสมาชิกครอบครัวรายใดมีอำนาจควบคุมอย่างมีนัยสำคัญใน บริษัทศรัทธาทรัพย์ 9 จำกัด ซึ่งถือเป็นนิติบุคคลที่เป็นผู้ถือหุ้นของกิจการอยู่ก่อนแล้ว (chain principle) ส่งผลให้การโอนหุ้นดังกล่าว ไม่เข้าข่ายเป็นการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการ และไม่อยู่ภายใต้หลักเกณฑ์ที่ต้องดำเนินการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั้งหมดของบริษัทฯ ตามประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนที่ ทจ.12/2554 เรื่องหลักเกณฑ์เงื่อนไข และวิธีการในการเข้าถือหลักทรัพย์เพื่อครอบงำกิจการบริษัทฯขอเรียนว่าการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างผู้ถือหุ้นดังกล่าว ไม่มีผลกระทบต่อโครงสร้างการบริหารจัดการของบริษัทฯในปัจจุบัน การดำเนินธุรกิจ หรือทิศทางกลยุทธ์ของบริษัทฯแต่อย่างใด โดยบริษัทฯยังคงดำเนินงานภายใต้การบริหารของทีมผู้บริหารมืออาชีพตามหลักธรรมาภิบาลและแผนธุรกิจที่วางใจ เพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้เสียทุกฝ่ายในระยะยาว”บุตรทั้ง 5 คนของ เจ้าสัวเจริญ ก็มี คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี, คุณวัลลภา ไตรโสรัส, คุณปณต สิริวัฒนภักดี, คุณฐาปนี เตชะเจริญวิกุล และ คุณอาทินันท์ พีชานนท์เมื่อไปดูข้อมูลของ ไทยกรุ๊ป โฮลดิ้งส์ ก็ไม่ใช่บริษัทใหญ่โตอะไร market cap ล่าสุดอยู่ที่ 8,400 กว่าล้านบาท แต่ที่น่าสนใจก็คือ บริษัท มงคลสิริ จำกัด ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ถึง 80.44% น่าจะเป็นจิ๊กซอว์อีกตัวของ เจ้าสัวเจริญ ในการเข้าถือหุ้นบริษัทต่างๆ นอกเหนือจาก บริษัทศรัทธาทรัพย์ 9 จำกัด และ บริษัท ทีซีซี โฮลดิ้งเจ้าสัวเจริญ ได้รับการจัดอันดับจากนิตยสารฟอร์บส์เป็น มหาเศรษฐีอันดับ 3 ในเมืองไทย ปีที่แล้ว มีความมั่งคั่ง 10,000 ล้านดอลลาร์ 326,700 ล้านบาท (อัตราแลกเปลี่ยนวันอังคาร 32.67 บาทต่อดอลลาร์) แต่ในความเป็นจริง ผมเชื่อว่าเจ้าสัวเจริญมีความมั่งคั่งรํ่ารวยมากกว่านี้หลายเท่า ธุรกิจอื่นของเจ้าสัวเจริญที่ไม่เกี่ยวกับ 3 บมจ. ยังมีอีกมากมาย และมีมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท ถ้ารวมที่ดินอันมหาศาลเป็นแสนไร่ทั่วประเทศด้วยละก๊อ ผมเชื่อว่าเจ้าสัวเจริญมีความมั่งคั่งเกิน 1 ล้านล้านบาท แน่นอนเจ้าสัวเจริญ มีอาการป่วยมานานแล้ว ต้องใช้เวลาในการรักษาตัว ทำให้ไม่สามารถเข้าร่วมประชุมกับบริษัทในเครือต่างๆ ดังนั้น การที่เจ้าสัวเจริญตัดสินใจแบ่งมรดกในบริษัท ศรัทธาทรัพย์ 9 จำกัด ซึ่งถือหุ้นใหญ่อยู่ใน 3 บมจ.ให้กับลูกทั้ง 5 คนเท่ากัน จึงไม่น่าแปลกใจอะไร เพียงแต่ 3 บริษัทนี้จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ จึงต้องแจ้งตลาดหลักทรัพย์ ส่วนบริษัทที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับตลาดหลักทรัพย์ไทย เช่น ไทยเบฟ ก็ไม่ต้องแจ้งครอบครัวมหาเศรษฐีปัจจุบันจะมีการจัดตั้ง Family Office หรือ สำนักงานครอบครัว เพื่อบริหารจัดการทรัพย์สินและความมั่งคั่งของธุรกิจในครอบครัว จะได้ส่งต่อรุ่นสู่รุ่น ไม่ถูกใครมาเทกโอเวอร์ ผมเชื่อว่า เจ้าสัวเจริญ ก็คงมีการจัดตั้ง Family Office เช่นเดียวกับ เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานเครือซีพี มหาเศรษฐีอันดับ 2 ของไทย ก็จัดตั้ง Family Office เมื่อสองปีก่อน DeloittePrivate รายงานว่า ปัจจุบันมี Family Office เพิ่มขึ้นทั่วโลกกว่า 1 หมื่นแห่ง บริหารความมั่งคั่งของเศรษฐีกว่า 3.1 ล้านล้านดอลลาร์ กว่า 100 ล้าน ล้านบาท คาดว่า ปี 2573 จะเพิ่มขึ้นเป็น 5.4 ล้านล้านดอลลาร์ รวยกันจนนับตัวเลขไม่ถูกเลยทีเดียว."ลม เปลี่ยนทิศ"คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม