สัปดาห์ก่อน คณะกรรมาธิการพาณิชย์และการอุตสาหกรรมวุฒิสภา ได้จัดสัมมนาเรื่อง “e–Commerce กลืนชาติ : ฟังเสียงคนค้าออนไลน์ไทยก่อนจะสาย” ที่รัฐสภา เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการแพลตฟอร์มออนไลน์ไทยและต่างประเทศ ผู้ประกอบการขนส่งและผู้สนใจเข้าฟัง เพื่อบอกถึงอุปสรรคการค้าออนไลน์ของไทย พร้อมทั้งข้อเสนอแนะ เพื่อให้กรรมาธิการนำไปเสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องแก้ปัญหา เป็นหัวข้อสัมมนาที่น่าสนใจมาก ในยามที่สินค้าไทยโดยเฉพาะคนตัวเล็กเอสเอ็มอี กำลังได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าโลกอย่างหนัก การขายสินค้าออนไลน์จึงเป็นทางเลือกเดียวที่เหลืออยู่ตลาดการค้าออนไลน์เป็นตลาดที่ใหญ่มาก ข้อมูลระบุว่า ปี 2025 จีนครองส่วนแบ่งในตลาดโลกสูงถึง 50% คิดเป็นมูลค่ากว่า 2.535 ล้านล้านดอลลาร์ รองมา สหรัฐฯ ครองส่วนแบ่งตลาดโลก 26.5% มูลค่ากว่า 1.193 ล้านล้านดอลลาร์ดร.เอกชัย เรืองรัตน์ รองประธานคณะกรรมาธิการพาณิชย์ฯ วุฒิสภา เปิดเผยผลการสัมมนาว่า ภาพรวมตลาด E-commerce ของไทยในปี 2024 มีมูลค่าตลาด E–marketplace รวมอยู่ที่ประมาณ 1.8 ล้านล้านบาท โดยมี 3 ยักษ์ใหญ่ต่างชาติครองส่วนแบ่ง ตลาดดังนี้ Shopee ครองตลาด 40.9% ประมาณ 330,946 ล้านบาท Lazada ครองตลาด 34.9% ประมาณ 282,474 ล้านบาท และ TikTok ครองตลาด 24.1% ประมาณ 195,051 ล้านบาท รายได้ 70% มาจากค่าบริการเฉลี่ยที่ 3% แพลตฟอร์มที่ผู้บริโภคนิยมเข้าชมมากที่สุดใน 30 วันที่ผ่านมาคือ Shopee ครองสัดส่วน 75% รองมา Lazada 68%แต่การเข้าไปขายสินค้าในตลาดออนไลน์ที่มีขนาดใหญ่เช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายดร.เอกชัย สรุปถึง ข้อเสียในการขายผ่าน E-marketplace ว่ามีหลายอย่าง อาทิ การแข่งขันสูง เจอคู่แข่งทั่วประเทศและต่างประเทศ ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมแพง ใครอยากมียอดขายดี ต้องซื้อโฆษณาจากแพลตฟอร์มในมาร์เกตเพลสช่วยดัน เราไม่ได้เป็นเจ้าของแพลตฟอร์ม ปรับแก้อะไรไม่ได้ ข้อมูลไม่ใช่ของเรา ลูกค้าโดนปิดกั้น หาก market place ปิดร้านค้าเรา เราไม่สามารถควบคุมอะไรได้ ทางออกของผู้ประกอบการไทยคือ ต้องมีช่องทางการขายของตัวเอง (Owned Channel) เพื่อลดการพึ่งพา Marketplaceแพลตฟอร์มยังมีการบังคับใช้บริษัทขนส่งที่กำหนด ทำให้ผู้ขายไม่สะดวก แก้ไขปัญหาได้ยากเมื่อเกิดข้อผิดพลาด แพลตฟอร์มยังชอบดองเงินผู้ขาย 7-14 วันอีกด้วยข้อเรียกร้องของผู้ประกอบการไทยที่น่าสนใจก็คือ ขอให้ลดค่าธรรมเนียม ควบคุมการเก็บค่าธรรมเนียมที่ไม่เป็นธรรม เรียกร้องให้รัฐบาลเก็บภาษีสินค้านำเข้ารายย่อยจากจีนอย่างเข้มงวด ลดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรมจากการทุ่มตลาด มีการปลอมแบรนด์สินค้าไทยและขายตัดราคาอย่างหนักใน marketplace มีการนำสินค้าผิดกฎหมาย วัสดุก่อสร้างและสารเคมีอันตรายจากจีนส่งผลกระทบต่อธุรกิจไทย จึงมีข้อเสนอเชิงระบบคือ อยากให้รัฐบาลพัฒนาระบบกลางในการตรวจสอบเลข อย. (อาหารและยา) และข้อมูลสินค้าก่อนโพสต์ขาย บังคับให้ marketplace ที่มีรายได้สูงเปิด API ให้ผู้ประกอบการเข้าถึงข้อมูลได้ และควรให้เปิดระบบเชื่อมต่อการชำระเงิน การจัดส่ง การจัดการคำสั่งซื้ออย่างเสรีผู้ประกอบการมีข้อเสนอดีๆอีกมาก อาทิ ให้รัฐบาลจัดตั้ง “แพลตฟอร์มกลางของไทย” สนับสนุนให้แพลตฟอร์มไทยแข่งขันได้ จัดทำกฎหมายควบคุมแพลตฟอร์มดิจิทัลและอีคอมเมิร์ซอย่างครอบคลุม เพื่อควบคุมแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ พร้อมกับตั้งคำถามไปถึงรัฐบาลว่า ทุกประเทศกำลังลดการนำเข้าสินค้าจีนราคาถูกที่เข้ามาทุ่มตลาด ทำไมประเทศไทยจึงยังอนุญาตให้สินค้าจีนราคาถูกเข้ามาทุ่มตลาดอยู่ เรื่องนี้รัฐบาลควรมีคำตอบนะครับผมเห็นด้วยอย่างยิ่งครับ ประเทศไทยควรจะมี “แพลตฟอร์ม E–marketplace ไทย” ได้แล้ว เพื่อให้เอสเอ็มอีไทยเข้าถึงตลาดโลกได้ โดยไม่ถูกแพลตฟอร์มใหญ่ขูดรีด พรรคเพื่อไทยพูดหาเสียงเรื่องนี้บ่อยมาก พอได้เป็นรัฐบาลก็ไม่ทำ ผมขอชม คณะกรรมาธิการพาณิชย์และอุตสาหกรรมวุฒิสภา ที่จัดสัมมนาเรื่องนี้ขึ้นมาทำให้เห็นภาพที่ชัดเจนครับ.“ลม เปลี่ยนทิศ”คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม