ก่อนที่ “ทีมไทยแลนด์” จะไปเจรจากับ ทีมงานทรัมป์ ให้ลดหย่อนภาษีตอบโต้ 36% ในวันจันทร์ที่ 21 เม.ย. ผมอยากให้ทีมไทยแลนด์ศึกษาตัวตนที่แท้จริงของทรัมป์ให้รอบด้าน รวมทั้งในหนังสือ TRUMP The Art of the Deal ที่ผมเคยเขียนเล่าไปแล้ว ทรัมป์ได้เล่าเองอย่างละเอียดในบทแรกเรื่อง “เจรจาการค้า Dealing” ทำให้เห็นถึงวิธีการต่างๆของเขาในการเจรจาเพื่อให้ได้เปรียบคู่ค้า ล่าสุด พอล ครุกแมน นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดังของโลก ซึ่งเคยได้รับ รางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ มาแล้ว ก็ออกมาวิพากษ์วิจารณ์พฤติกรรมของทรัมป์อย่างรุนแรงว่า นโยบายภาษีทรัมป์จะทำให้สหรัฐฯตกต่ำไปอยู่ประเทศโลกที่ 3วันนี้ไปฟัง ทีมงานสมัยแรกของทรัมป์ วิจารณ์ทรัมป์กันบ้างครับคนแรก จอห์น เคลลี หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาว ปี 2017–2019 ที่ทรัมป์เป็นประธานาธิบดีสมัยแรก เขาสรุปว่า “ทรัมป์เป็นขวาสุดโต่ง เขาเป็นเผด็จการแน่ๆ เขาชื่นชมคนที่เป็นเผด็จการ การบริหารประเทศทรัมป์ชอบวิธีการเผด็จการมากกว่า” พฤติกรรม 3 เดือนของทรัมป์ในการบริหารประเทศก็ได้เห็นชัดเจนแล้ว ทรัมป์ใช้ “คำสั่งฝ่ายบริหาร” ที่ทรัมป์เป็นผู้ออกคำสั่งเพียงคนเดียวในการบริหารประเทศ โดยไม่ผ่านสภาคองเกรส คำสั่งของประธานาธิบดีทรัมป์ถือเป็นกฎหมาย เหมือน “คำสั่งหัวหน้าคณะปฏิวัติ” ของไทยยังไงยังงั้น จะเห็นว่า มาตรการภาษีตอบโต้ทุกอย่าง ทรัมป์สั่งในนามคำสั่งฝ่ายบริหารไม่ได้ออกเป็นกฎหมายหรือขอความเห็นชอบจากสภาคองเกรสแม้แต่ฉบับเดียวนอกจากนี้ ทรัมป์มีความรู้พื้นฐานด้านการเมืองระหว่างประเทศน้อยมากสื่อมวลชนกระแสหลัก ในสหรัฐฯก็มองทรัมป์ในแง่ลบ เป็นห่วงว่าทรัมป์จะเข้ามาทำลายระบอบประชาธิปไตยและระบบนิติรัฐ ทรัมป์ชอบกล่าวหาสื่อกระแสหลักว่า สร้างข่าวเท็จ แต่ ทรัมป์ กับคู่หู อีลอน มัสก์ ก็ชอบปล่อยข่าวเท็จบนแพลตฟอร์มโซเชียลของตัวเอง สิ่งที่สื่ออเมริกันเป็นห่วงที่สุดก็คือ “กลัวทรัมป์จะใช้อำนาจ ประธานาธิบดีทำลายรัฐธรรมนูญและระบบกฎหมายสหรัฐฯ” อย่าคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ประธานาธิบดีเกาหลีใต้คนล่าสุด ก็ ประกาศกฎอัยการศึก ยึดอำนาจรัฐยึดอำนาจรัฐสภามาแล้ว จนถูกศาลถอดถอนออกจากตำแหน่งและถูกดำเนินคดีอยู่ในเวลานี้ ถ้าวันหนึ่งประธานาธิบดีทรัมป์ประกาศกฎอัยการศึกยึดอำนาจรัฐและรัฐสภาสหรัฐฯ สหรัฐอเมริกาจะเป็นอย่างไร จะแตกเป็นเสี่ยงแยกเป็นประเทศเอกราช 50 ประเทศ เหมือน การล่มสลายของสหภาพโซเวียต หรือไม่ล่าสุด ประธานาธิบดีทรัมป์ เปิดศึกกับ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด มหาวิทยาลัยชั้นนำอันดับ 4 ของโลก กดดันใช้ฮาร์วาร์ดปราบปรามนักศึกษาที่มีแนวคิดต่อต้าน “ชาวเซมิติก (Anti–Semitism)” หรือ “ลัทธิต่อต้านยิว (อิสราเอล)” นั่นเองแต่ ผู้บริหารมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดปฏิเสธ ทำให้ทรัมป์โมโห คณะทำงานร่วมเพื่อปราบปรามลัทธิต่อต้านชาวยิว จึงได้ สั่งระงับเงินอุดหนุนมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดจำนวน 2,300 ล้านดอลลาร์ทันที จากเงินอุดหนุนประจำปี 9,000 ล้านดอลลาร์ โดยกล่าวหาว่า “มีทัศนคติที่ไม่เหมาะสม การข่มขู่คุกคามนักศึกษาชาวยิวเป็นสิ่งที่ไม่อาจทนได้” ทำให้ อลัน การ์เบอร์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ออกจดหมายเปิดผนึกตอบโต้ เมื่อ 14 เม.ย. ถึงข้อเรียกร้องจาก กระทรวงศึกษาสหรัฐฯ เปิดทางให้รัฐบาล กลาง “เข้าควบคุมประชาคมฮาร์วาร์ด” ว่า “ไม่ควรมีรัฐบาลชุดไหน ไม่ว่าจากพรรคการเมืองใด สามารถสั่งการมหาวิทยาลัยเอกชน ควรจะสอนอะไร ควรจะรับหรือว่าจ้างบุคคลใด หรือศึกษาวิชาการแขนงใดได้บ้าง”คุณวิวัฒน์ชัย อัตถากร เคยเขียนถึง สหรัฐฯและประธานาธิบดีสหรัฐฯ ว่า ตกอยู่ใต้อำนาจ Deep State ไซออนิสต์ ที่มี “ยิว (อิสราเอล)” เป็นผู้สนับสนุนผ่านองค์กรการเมือง AIPAC ก่อนหน้านี้ ประธานาธิบดีไบเดน ก็เคยสารภาพว่า “ผมเป็นไซออนิสต์” ทรัมป์เองก็ได้รับการสนับสนุนการเลือกตั้งจากมหาเศรษฐียิวผ่าน AIPAC เครือข่ายไซออนิสต์เหมือนกันจะไปเจรจาการค้ากับสหรัฐฯครั้งนี้ จึงต้อง “รู้เขา รู้เรา” ให้ลึกซึ้งที่สุดครับ.“ลม เปลี่ยนทิศ”คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม