สภาพดินเสื่อมโทรมเป็นปัญหาสำคัญต่อ “การทำการเกษตรในหลายพื้นที่ของไทย” โดยเฉพาะดินลูกรังอย่างพื้นที่ ต.เขาชะงุ้ม อ.โพธาราม จ.ราชบุรี ที่มีลักษณะเป็นดินกรวด ลูกรัง เศษหินปะปนจนขาดความสามารถในการเก็บความชื้นและสารอาหารพืช ทำให้การเพาะปลูกไม่เจริญเติบโตได้ดียิ่งกว่านั้น “ยังชะล้างผิวดินได้ง่าย” เพราะด้วยชั้นหินกรวดอัดตัวเกิดความหนาแน่น “การซึมซับน้ำก็ลดลง” กลายเป็นปัญหาให้เกษตรกรหันไปทำอาชีพอื่น และบางครอบครัวย้ายถิ่นฐานไปพื้นที่ที่ทำการเกษตรได้ กระทั่งปี 2529 “พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร” มีพระราชดำริศึกษาปรับปรุงบำรุงดินเสื่อมโทรมให้เพาะปลูก และทดสอบปลูกพืชเหมาะสภาพพื้นที่ภายใต้โครงการศึกษาวิธีการฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้มอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ต.เขาชะงุ้ม อ.โพธาราม จ.ราชบุรีกลายเป็นศูนย์ศึกษาวิจัยและสาธิตวิธีฟื้นฟูปรับปรุงดินเสื่อมโทรมใช้ประโยชน์ได้ “เพื่อเกษตรกรจะได้เรียนรู้วิธีจัดการดิน น้ำ พืชอย่างถูกต้อง” ที่ไม่เพียงช่วยฟื้นฟูดินเสื่อมโทรมเท่านั้น แต่ยังช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรด้วย “ทีมสกู๊ป” จึงได้รับเชิญจาก กปร.ร่วมกิจกรรมสื่อมวลชนสัญจรสืบสานพระราชดำริประจำปี 2568เพื่อเยี่ยมชม “โครงการศึกษาวิธีการฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้มฯ” ในการฟื้นฟูดินเสื่อมโทรมกลับมาอุดมสมบูรณ์ สุพร ตรีนรินทร์ เลขาธิการ กปร. เล่าว่า เดิมพื้นที่แห่งนี้เป็นดินใช้ผิดวิธีจนหน้าดินเสียหายขาดความอุดมสมบูรณ์ “เกิดความแห้งแล้ง” ไม่สามารถทำการปลูกพืชได้จนถูกปล่อยทิ้งร้าง และบางส่วนขุดลูกรังไปขายส่วนใหญ่เป็นดินตื้นเนื้อดินร่วนปนทรายและปนกรวด “ชาวบ้าน” จึงถวายที่ดินให้ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระองค์ท่านมีแนวความคิดพัฒนาที่ดินตรงนี้ให้เกิดประโยชน์ เพื่อสามารถพัฒนาไปสู่การเกษตรได้อย่างยั่นยืนเมื่อเป็นเช่นนี้ “สนง.กปร.กรมพัฒนาที่ดินและหน่วยงานต่างๆ” จึงสนองพระราชดำริในด้านการพัฒนาดิน น้ำ และป่าไม้ พร้อมส่งเสริมอาชีพเกษตรกรรมแก่ประชาชนในพื้นที่ เช่น การใช้หญ้าแฝกเพื่อการอนุรักษ์ดิน น้ำ การปรับปรุงดินลูกรังด้วยมูลไส้เดือนดิน การปลูกพืชแบบผสมผสาน และทำเกษตรทฤษฎีใหม่ในพื้นที่อับฝนไม่เท่านั้นยังฟื้นฟูป่าตามแนวพระราชดำริ “ปลูกป่าโดยไม่ต้องปลูก” จนเปลี่ยนจากป่าเต็งรังเป็นป่าเบญจพรรณมาตลอดระยะ 40 ปี “ดินเขาชะงุ้มเคยเสื่อมโทรม” ก็กลายเป็นพื้นที่สีเขียวด้วยป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์ขึ้นเองตามธรรมชาติ และเป็นพื้นที่เกษตรกรรมที่ประชาชนสามารถเพาะปลูกพืชผลทำการเกษตรอย่างได้ผลจนทุกวันนี้ ในการส่งเสริมการเรียนรู้ให้เกษตรกร 12 หมู่บ้าน “ยกระดับตั้งศูนย์เรียนรู้ตามแนวพระราชดำริ 10 แห่ง” ที่โดดเด่นเกษตรอินทรีย์ เกษตรผสมผสาน ขยายผลไปโรงเรียนใกล้เคียง เพื่อเพิ่มผลผลิตเป็นอาหารกลางวันทั้งยังส่งเสริมการพัฒนาผลผลิตทางเกษตรได้มีคุณภาพผ่าน “การรับรอง อย.” เพื่อเพิ่มช่องทางการตลาดจากการดำเนินงาน 40 ปี “ก่อเกิดผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรม” ฟื้นฟูพื้นที่เสื่อมโทรมกลับมาอุดมสมบูรณ์ได้กลายเป็นแหล่งเรียนรู้ “รูปแบบพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติมีชีวิต” สู่ผู้รับประโยชน์ 2,400 ครัวเรือน อย่าง สามารถ พูลเกษมชาวบ้านต.เตาปูน เกษตรกรน้อมนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงสู่การทำเกษตรในพื้นที่ 4 ไร่ เล่าว่า เดิมลักษณะพื้นที่ทำการเกษตรต้องเผชิญกับ “ความแห้งแล้ง และสภาพพื้นดินเสื่อมโทรม ไม่สามารถเพาะปลูกใดๆได้” จนมาปี 2529 ในหลวงรัชกาลที่ 9 มีพระราชดำริให้ศึกษาวิธีการปรับปรุงบำรุงดินเสื่อมโทรมให้ใช้ประโยชน์ในการเพาะปลูก และทดสอบวางแผนจัดระบบปลูกพืชให้เหมาะสมในพื้นที่เขาชะงุ้ม อ.โพธารามทำให้สภาพพื้นที่นั้นเปลี่ยนจากพื้นที่แห้งแล้งกลายเป็นเขียวชอุ่มแล้วก็มีการจัดตั้งเป็นโครงการศึกษาวิธีการฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้มฯจนมีโอกาสเข้ามาศึกษาดูงานนำความรู้มาพัฒนาบำรุงดินที่เสื่อมโทรมของตัวเองให้ใช้ประโยชน์ได้ “ก่อเกิดรายได้ 76,000 บาท/ปี” จากการรับแรงบันดาลใจจากการทําเกษตรทฤษฎีใหม่ ตามแนวพระราชดำริมาประยุกต์กับเทคโนโลยี “ระบบน้ำอัจฉริยะในแปลงไม้ผลพืชผัก” ไม่ว่าจะเป็นดอกแค สะเดา กล้วย มะพร้าวน้ำหอม มะม่วง ละมุด ข้าว และเลี้ยงไก่พื้นเมือง มีผลผลิตที่ได้ก็เพื่อนำไปบริโภคในครัวเรือน และที่เหลือจะแบ่งปันให้คนอื่น “อันเป็นการดํารงตนตามวิถีพอเพียง” ที่มีรายได้มั่นคงมาอย่างต่อเนื่องคราวนั้นในช่วงแรกๆ “รู้สึกท้อพอสมควร” เพราะด้วยดินค่อนข้างเสื่อมสภาพมากไม่อาจปลูกอะไรได้เลย “กระทรวงเกษตรและสหกรณ์” ก็เข้ามาเก็บตัวอย่างดิน ปรับปรุงดินให้มีคุณภาพ “จนเพาะปลูกเก็บผลผลิตมีอยู่มีกินได้ตลอดทั้งปี” แถมที่เหลือจากการกินยังขายเป็นรายได้ให้ครอบครัวได้อย่างน้อยเฉลี่ยวันละ 200-300 บาทอีกทั้งยังสามารถลดรายจ่ายได้ “พอตื่นเช้าขึ้นมาอยากกินอะไร” บริเวณรอบบ้านสามารถหยิบจับนำไปประกอบเป็นอาหารได้ทั้งหมดไม่ว่าจะปลาในบ่อ ดอกแค พริก มะนาว โดยไม่ต้องซื้อ ลดต้นทุนอย่างเห็นได้ชัด “ชีวิตก็เปลี่ยนแปลงดีขึ้นเรื่อยๆ” ทําให้รู้สึกว่ายิ่งทํายิ่งปลูกยิ่งได้อยู่สบาย และแก่ตัวไปก็ไม่ต้องกลัวอดตายแล้ว อนาคตคิดว่าจะพัฒนาพื้นที่ 4 ไร่ เปิดศูนย์ศึกษาดูงานให้คนรุ่นใหม่ที่กำลังเบื่อกับการทำงานในเมืองหลวงให้มาศึกษานำความรู้ในการปลูกพืชแบบผสมผสานและการทำเกษตรทฤษฎีใหม่ไปสร้างรายได้อย่างยั่งยืนเช่นเดียวกับ สุกิจ สุภาพงศ์ ผู้มีคติประจำใจในการประกอบอาชีพ “ตามรอยเท้าพ่อ สานต่องานอาชีพ และเป็นแบบอย่างที่ดีต่อสังคม” เกษตรกรที่มีความเชี่ยวชาญการเลี้ยงผึ้งโพรง และชันโรง รวมถึงการแปรรูปสมุนไพรเพื่อสุขภาพ มีรายได้เฉลี่ยต่อปี 300,000 บาทจากเกษตรแบบผสมผสานวิถีพอเพียงในพื้นที่ 3 ไร่ซึ่งมีจุดเริ่มต้นเรียนรู้จาก “โครงการศึกษาวิธีการฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้มฯ” เพราะด้วยสมัยก่อนสภาพดินเสื่อมโทรมที่เรียกว่า “กรวดขี้นกยูง หรือดินปนกรวด” ก่อนนำความรู้มาปรับปรุงดินสามารถปลูกพืชแบบผสมผสาน ไม่ว่าจะเป็นมะนาว มะพร้าว มะม่วง ไพล ย่านางแดง ขมิ้น อ้อย ว่านเอ็นเหลือง ก่อนนำผลผลิตมาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์อย่างน้ำมันไพล โลชั่นถนอมผิว สบู่ก้อนสมุนไพร แชมพูสมุนไพร ยาหม่องสมุนไพร และสบู่สับปะรด “จดแจ้งระดับ 5 ดาว” นําไปขายต่างประเทศอย่างกัมพูชา เวียดนาม ไต้หวัน และล่าสุด สนง.เกษตรจังหวัดราชบุรี ก็เข้ามาส่งเสริมการเลี้ยงผึ้งและการทําผลิตภัณฑ์ต่างๆมากมายนี่ล้วนเป็นผลสัมฤทธิ์จาก “โครงการศึกษาวิธีการฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้มฯ” ที่เกิดจากพระปรีชาสามารถของในหลวงรัชกาลที่ 9 ที่พระราชทานพระราชดำริในการปรับปรุงที่ดินเสื่อมโทรมแห่งนี้เปลี่ยนเป็นความอุดมสมบูรณ์จนมาเป็นแหล่งศึกษาดูงานที่สำคัญให้กับประชาชนมาจนถึงทุกวันนี้.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม