อุบัติเหตุซ้ำซากบนทางม้าลายในประเทศไทย “ยังเป็นพื้นที่อันตราย” สำหรับคนเดินเท้าข้ามถนนที่มักถูกรถเฉี่ยวชนโดยเฉพาะเขตเมืองใหญ่อย่าง “กรุงเทพฯ” แม้ว่าทางม้าลายหลายจุดจะมีสัญญาณไฟจราจรก็ตาม แต่ปัญหานี้ก็ยังสามารถเกิดขึ้นให้เห็นกันอยู่บ่อยครั้งเช่นเดิมถ้ามาดูสาเหตุมีตั้งแต่ “ผู้ขับขี่ไม่ให้ความสำคัญ” จากการขับรถใช้ความเร็วเมื่อใกล้ทางม้าลายโดยไม่หยุดให้คนข้ามถนนตามกฎหมาย “สภาพทางเดินไม่เหมาะสม” ในบางจุดทางม้าลายไม่อยู่ในตำแหน่งสะดวก หรือปลอดภัย “คนข้ามถนนก็ขาดความระมัดระวัง” โดยไม่มองรถ หรือไม่รอให้สัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนก่อนแต่หากมาดูตัวเลข “กระทรวงสาธารณสุข” ในภาพรวมแนวโน้มการเสียชีวิตคนเดินเท้าลดจากเดิมปี 2554 อยู่ที่ 10.6% ในปี 2566 ลดลงเหลือ 3.3% เฉลี่ย 300-400 คน/ปี หรือวันละ 1 ราย แต่สำหรับ กทม.ยังมีผู้เดินเท้าเสียชีวิต 9% มาจากสาเหตุใดนั้น นพ.ธนะพงศ์ จินวงษ์ ผู้จัดการศูนย์วิชาการเพื่อความปลอดภัยทางถนน บอกว่าอุบัติเหตุคนเดินเท้าไม่ว่าจะเป็นการข้ามถนน ข้ามทางม้าลาย หรือบนฟุตปาท ถูกรถชนยังเป็นปัญหาคู่สังคมไทย “นับวันยิ่งเกิดบ่อยซ้ำรอยบริเวณเดิม” สะท้อนถึงโครงสร้างรากปัญหาไม่ได้รับการแก้ไขจริงจัง ปัจจัยบนทางม้าลายใน กทม.ยังมีผู้เสียชีวิตสูงมักเกี่ยวพันกับรากปัญหา 2 ส่วน คือ ส่วนแรก...“กายภาพถนน” หากสังเกตจะพบถนน กทม.มีลักษณะกว้างหลายช่องทางอย่างหน้าสถาบันโรคไตภูมิราชนครินทร์ ถนนพญาไท บริเวณรถ จยย.ชนนักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ข้ามทางม้าลาย และเป็นจุดเดียวกับหมอกระต่ายถูกรถชนเสียชีวิตลักษณะถนนเป็น 6 ช่องจราจร “ฝั่งละ 3 เลน” เวลาคนข้ามถนนต้องใช้เวลาอยู่บนถนนนาน “บางช่องจราจรรถจะหยุดแต่ช่องจราจรด้านในจะไม่หยุด” โดยเฉพาะช่องจราจรขวาสุดมักมีการขับขี่ด้วยความเร็ว แล้วอาจจะมองไม่เห็นกัน 2 ฝ่าย กลายเป็นจุดอันตรายของการข้ามถนนให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นบ่อยครั้งอันเป็นปัจจัยทางกายภาพถนนมีผลต่อ “การมองเห็นระหว่างคนเดิน และคนขับ” ตามปกติแล้วรถวิ่งในเลนซ้าย และเลนกลาง “มักจะจอดให้คนข้าม” แต่หากเป็นรถ จยย. เมื่อเห็นรถจอดก็จะตัดเข้ามาวิ่งในเลนขวาสุดอันเป็นช่องใช้ความเร็ว “การมองเห็นคนข้ามถนนก็น้อย” แล้วก็เป็นจุดบอดของคนข้ามถนนด้วยกลายเป็นว่า “ต่างฝ่ายต่างไม่ทันระวังจนเกิดอุบัติขึ้น” ดังนั้นถนนหลายช่องทางการจราจรมีปัญหาบดบังการมองเห็นระหว่างคนข้ามถนน และคนขับรถอย่างกรณีรถบิ๊กไบค์ชนหมอกระต่ายเสียชีวิตก็เกิดในเลนขวา นอกจากนี้ “กายภาพลำดับชั้นถนนก็เป็นความเสี่ยงเช่นกัน” โดยเฉพาะถนนที่ถูกระบุให้รถใช้ความเร็วเพื่อการระบายจราจรอย่าง “ถนนรัชดาถือเป็นวงแหวนรอบใน กทม.” ที่ต้องมีการระบายรถให้คล่องตัวที่สุด “มิเช่นนั้นการจราจรจะติดทั้งโครงข่าย” ทำให้หลายปีก่อนมีนักข่าวถูกรถชนเสียชีวิตขณะข้ามทางม้าลายมาแล้วเช่นนี้การแก้ปัญหา “กายภาพถนน” ต้องทำสัญลักษณ์ ขีดสีตีเส้น มีลูกระนาด “เตือนการชะลอความเร็วให้ชัดเจน” ทั้งสัญญาณไฟหยุดรถก็ต้องประเมินความเร็ว และการชะลอหยุดได้ทันตามออกแบบมาหรือไม่หากไม่สามารถหยุดตามที่กำหนดได้ “ต้องเพิ่มเครื่องหมายที่ชัดเจน” ไฟแดงหยุดที่มีระยะแดงทั้ง 2 ทิศทางครอบคลุมทุกเลนถนน 2-3 วินาที เพื่อเพิ่มจังหวะเตือนให้คนข้ามถนน และรถหยุดพร้อมกันได้ถัดมาในส่วนที่สอง...“พฤติกรรมของคน” เรื่องนี้สามารถแยกออกเป็น 2 ส่วน คือ 1.พฤติกรรมของคนขับขี่ อย่างกรณีรถ จยย.ชนนักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ “คนขับขี่มิได้คาดการณ์ว่าจะมีคนข้ามถนนเลยใช้ความเร็ว” แม้แต่เห็นรถข้างหน้าชะลอ หรือจอดก็ยังหักออกไปเลนขวาจนไปเจอคนข้ามถนนก่อเกิดอุบัติเหตุขึ้น ส่วนหนึ่งมาจาก “ผู้ขับรถขาดวินัย” สังเกตพฤติกรรมขับขี่มักเร่งความเร็วเมื่อรถใกล้ถึงทางม้าลาย หรือบางครั้งรถจอดจุดทางม้าลายถูกบีบแตรไล่ก็มี ทั้งที่มีสัญลักษณ์เตือนผู้ขับรถต้องหยุดให้ผู้คนข้ามถนนปลอดภัยข้อ 2.พฤติกรรมคนข้ามถนน เรื่องนี้ถนนที่มีทางม้าลาย กทม.มีการจัดการสัญญาณไฟได้ดี “แต่ในทางปฏิบัติสำหรับทางม้าลายไทยยังไม่มีความปลอดภัย” เหตุนี้คนข้ามถนนควรเพิ่มการเรียนรู้ สร้างความตระหนักให้การประเมินซ้ำก่อนข้ามถนนเสมอ แม้จะเป็นสัญญาณไฟเขียวก็ตามต้องมองซ้ายก่อนข้ามอีกครั้งเพราะอาจมีผู้ฝ่าฝืนอย่างนักท่องเที่ยวเกาหลีใต้ถูกรถ จยย.ชนบาดเจ็บ “กระทรวงการท่องเที่ยว และกีฬา” ก็ควรแจ้งเตือนเพิ่มเติมถึงการสัญจรบนถนนในไทย เนื่องจากคนต่างชาติบ่อยครั้งมักคิดว่า “ไฟเขียวรถอาจจะหยุด” แต่เอาเข้าจริงกลับมีรถโผล่มาทำให้คนไม่ได้คาดการณ์ถูกชนคล้ายกับกรณีหมอกระต่ายก็เกิดขึ้นบ่อยๆ “เรื่องนี้บ่งชี้ข้อจำกัดการเดินข้ามถนนจำเป็นต้องมีมาตรการเอาผิดกรณีไม่ชะลอหยุดจริงจังมากขึ้น เช่น ดำเนินคดีความผิดไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของบุคคลอื่นฟ้องร้องต่อศาล มิฉะนั้นการไม่จอดรถไม่ชะลอให้คนเดินข้ามถนนก็จะไม่ได้รู้สึกผิดอะไร ทำให้พฤติกรรมไม่ถูกปรับเปลี่ยน คงมีการฝ่าฝืนกฎจราจรเช่นเดิม” นพ.ธนะพงศ์ ว่าปัญหาว่า “ทางม้าลายในไทยเกิดขึ้นถี่มีจำนวนมาก” สะท้อนถึงคนไทยมีวิถีชีวิตพึ่งพิงอาศัยใกล้ถนน ทั้งกิจกรรมขายของริมทาง ตลาด ชุมชน โรงเรียน “ก่อให้เกิดผู้คนรวมตัวกันหนาแน่น” กลายเป็นเหตุให้คนต้องเดินทางข้ามถนนไป-มา “นำมาสู่การเกิดทางม้าลาย” เพื่ออำนวยความสะดวกให้คนเดินข้ามถนนปลอดภัยแบบนี้มีคำถามว่า “จะดำเนินการจัดการอย่างไร...?” เรื่องนี้ควรต้องทบทวนยุบรวมหรือย้ายทางม้าลายให้อยู่ในจุดพื้นที่สำคัญ “แต่การทำเช่นนี้ในไทยไม่ใช่เรื่องง่าย” เพราะก่อนนี้ กทม.เคยย้ายทางม้าลายหน้า รพ.วิภาราม ถนนพัฒนาการ เพราะเป็นช่วงทางลงข้ามแยกพอดี เพื่อความปลอดภัยต้องขยับทางม้าลายออกไป 50 เมตร ทำให้เกิดแรงต่อต้านรุนแรง “กทม.” ต้องประชาสัมพันธ์สร้างความเข้าใจนานกว่า 1 เดือน “ประชาชน” จึงยอมรับกับการย้ายทางม้าลายนั้นดังนั้นคงเป็นโจทย์ กทม.ต้องพิจารณาทบทวนยุบรวมให้มีความปลอดภัยหรือไม่ส่วนระยะยาว “จุดข้ามทางม้าลาย” ที่ตั้งกลางระหว่างแยก (Mid-Block) ควรทบทวนปรับย้าย หรือจัดทำสะพานลอย อุโมงค์ข้ามด้วยรถมาจากทางแยกเมื่อได้ไฟสัญญาณ หรือซ้ายผ่านตลอดมักทำความเร็ว และชะลอหยุดได้จำกัด ส่วนราชกิจจานุเบกษาประกาศใช้ความเร็วเขตเมือง 60 กม./ชม. ทำอย่างไรจะบังคับใช้ได้จริง ฉะนั้นอุบัติเหตุบนทางม้าลายของประเทศไทย “ต้องช่วยกันแก้ทั้งด้านกายภาพ และเชิงพฤติกรรม” เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทำให้ทางม้าลายเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้กับคนข้ามถนนจริงๆ.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม