นับเป็นความท้าทายใหญ่สำหรับ “ฝุ่น PM 2.5” ยังคงส่งผลกระทบหนักในเขตเมืองอย่างกรุงเทพฯและปริมณฑล ภาคเหนือ และภาคอีสาน “เกินค่ามาตรฐานในหลายพื้นที่” อันเป็นประเด็นสำคัญที่ส่งผลต่อสุขภาพของประชาชน และความมั่นคงของระบบสาธารณสุขในประเทศถ้าดูตามข้อมูล “กรมควบคุมโรค” ตั้งแต่ 1 ต.ค.2566-31 ธ.ค.2567 มีผู้ป่วยโรคเกี่ยวกับฝุ่น PM 2.5 ทั่วประเทศ 6 โรค 1 ล้านกว่าคน แยกเป็นปอดอุดกั้นเรื้อรัง 2.2 แสนคน โรคตาอักเสบ 3.5 แสนคน โรคผิวหนังอักเสบ 4.4 แสนคน โรคหืด 1.8 หมื่นคน หัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน 4 พันคน และการสัมผัสกับมลพิษทางอากาศ 28 รายยิ่งกว่านั้นยังเป็นตัวเร่งความรุนแรงโรคระบาดอย่างโรคไวรัส ทางเดินหายใจ HMPV และโควิด-19 ด้วย ส่วนปัจจัยเกิดฝุ่น รศ.ดร.สุรัตน์ บัวเลิศ หน.กลุ่มวิจัยวิทยาศาสตร์บรรยากาศ ภาควิชาวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม คณะสิ่งแวดล้อม ม.เกษตรศาสตร์ ศึกษาฝุ่นเมืองจากสถานีตรวจวัดบน KU Tower ติดบนตึกใบหยกมาตั้งแต่ปี 2556นำเสนอทางวิชาการ “PM 2.5 และโรคระบาด : ปัจจัยเสี่ยงที่เชื่อมโยงสองปัญหาใหญ่ที่รอแก้ไข” จัดโดยสถานีวิทยุ ม.ก.ทำให้ทราบถึงฝุ่นรูปแบบต่างๆที่แปรเปลี่ยนไปตามสภาพอุตุนิยมวิทยาแบ่งได้เป็น 6 รูปแบบ คือ แบบแรก...“Mid–Night Particle หรือฝุ่นหลังเที่ยงคืน” เกิดขึ้นเมื่ออุณหภูมิของบรรยากาศลดต่ำลง ส่งผลให้ความชื้นสัมพัทธ์สูง “ก่อเกิดฝุ่นเดิมในพื้นที่รวมตัวกันจากอนุภาคเล็กๆจับตัวโตขึ้น” ซึ่งพบมากช่วงเวลาหลังเที่ยงคืนในระดับ 10 มคก./ลบ.ม./ชม. ต่อเนื่องไปจนตอนเช้าแล้วค่อยลดลง มักจะเกิดขึ้นในช่วงฤดูหนาวแบบที่สอง...“Inversion Particle หรือฝุ่นอุณหภูมิผกผัน” ทำให้ชั้นบรรยากาศไม่เคลื่อนตัวตามปกติ “หยุดนิ่งไม่มีลม” ก่อเกิดภาวะฝาชีครอบไม่มีการเคลื่อนตัวของฝุ่นอันมีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกับฝุ่นหลังเที่ยงคืนแบบที่สาม...“Transboundary Particle หรือฝุ่นจากการเคลื่อนที่ระยะไกล” เป็นฝุ่นที่เคลื่อนตัวจากรอบนอกที่มีการเผาวัสดุที่เหลือจากการทำทางการเกษตร และลอยเข้ามาในกรุงเทพฯ หรือเมืองต่างๆ ผนวกกับลมเปลี่ยนทิศ แม้จะเผาที่อื่นแต่ก็พัดมาส่งผลให้ฝุ่นสะสมในกรุงเทพฯเพิ่มขึ้นโดยระดับความสูงจะเข้มมากกว่าอยู่ชั้นล่างแบบที่สี่...“Secondary Particle หรือฝุ่นทุติยภูมิ” เป็นฝุ่นที่มนุษย์ไม่ได้ก่อแต่เป็นผลจากแสงแดดอันเจิดจ้าเกิดปฏิกิริยาทางเคมีในชั้นบรรยากาศ “ก่อเกิดฝุ่นทุติยภูมิ” แบบที่ห้า...“Mixed Particle” เป็นฝุ่นผสมผสานสะสมฝุ่น 1-4 เข้าด้วยกัน เช่น ฝุ่นหลังเที่ยงคืนกับฝุ่นอุณหภูมิผกผัน ฝุ่นเคลื่อนที่ระยะไกลกับฝุ่นอุณหภูมิผกผัน ดังนั้น ฝุ่นรูปแบบผสมผสานจะทำให้ความเข้มข้นของ PM 2.5 สูงนานต่อเนื่องได้ทั้งวัน แบบที่หก...“Unpattern หรือฝุ่นไม่มีรูปแบบ” อันเป็นรูปแบบไม่จำกัด และไม่อยู่ในประเภทของฝุ่นตั้งแต่ข้อ 1-5ปัญหามาตรการรองรับมาตรฐานฝุ่น PM 2.5 “กรุงเทพฯ” ที่ทำมายังไม่มีประสิทธิภาพ เพราะในช่วงการดำเนินงานระยะสั้น “ฝุ่นไม่ได้ลด” แล้วตามที่ใช้แบบจำลอง WRF-CHEM ประเมินมาตรการเพิ่มเติมทั้งการเปลี่ยนขนส่งสาธารณะเป็นเชื้อเพลิงสะอาด การลดอุตสาหกรรม “ขาดประสิทธิผล” แม้แต่ฝุ่นข้ามพรมแดนก็ยังมีอยู่สะท้อนภาพรวมความเข้มข้น “วิกฤติฝุ่นไม่เคยลดลง” อย่างในวันที่ 7-17 ม.ค.2568ปรากฏพบฝุ่นหลังเที่ยงคืนค่อนข้างสูงมากแต่พอตอนเช้าสายๆ “ฝุ่น” ก็เจือจางหายไป ยกเว้นบางช่วงจะเกิดบรรยากาศไม่เคลื่อนตัวหยุดนิ่ง “ก่อเกิดภาวะฝาชีครอบของฝุ่นสะสม” มีความสัมพันธ์ต่อเนื่องกับฝุ่นหลังเที่ยงคืนนอกจากนี้ บางช่วงยังพบ “ฝุ่นเคลื่อนที่ระยะไกล” จากรอบนอกที่มีการเผาวัสดุเข้ามากลายเป็นการผสมผสานสะสมฝุ่นเกิดความเข้มข้นสูง 70-90 มคก./ลบ.ม. “กระทบต่อสุขภาพประชาชน” ข้อมูลองค์การอนามัยโลก (WHO) ประเทศไทยมีมลพิษอนุภาคขนาดเล็กทำให้ผู้เสียชีวิต 3.2 หมื่นคนในปี 2562 หรือ 46 คนต่อประชากรแสนคน ขณะที่ ผศ.ดร.กฤษณาพร ทิพย์กาญจนเรขา ประจำภาควิชาการพยาบาลผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ คณะพยาบาลศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์ บอกว่า ปี 2557 WHO ประกาศการสัมผัสฝุ่น PM 2.5 ก่อเกิดอุบัติการณ์เสียชีวิตก่อนวัยอันควร 3.7 ล้านคน/ปี และผู้เสียชีวิตส่วนมากมีถิ่นอาศัยในตะวันตกมหาสมุทรแปซิฟิก และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทำให้ประเทศไทยในเดือน ธ.ค.-มี.ค.ทุกปีที่มีฝุ่น PM 2.5 มักมีผู้ป่วยโรคทางระบบหายใจเพิ่มมากขึ้น เพราะฝุ่น PM 2.5 เป็นกลไกกระตุ้นการอักเสบในร่างกายเข้าสู่กระแสเลือดผ่านถุงลมปอด สามารถสะสมในปอด หลอดเลือด แถมจับตัวรับในเซลล์ภูมิคุ้มกัน เช่น Toll- like receptors (TLRs) เป็นส่วนหนึ่งของระบบภูมิคุ้มกันโดยธรรมชาติกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกันก่อให้เกิดการอักเสบตลอดเวลา นอกจากนี้ฝุ่น PM 2.5 ยังกระตุ้นการสร้างอนุมูลอิสระ (oxidative stress) ซึ่งเพิ่มการทำลายเซลล์ และกระตุ้นอนุมูลอิสระส่งผลให้เกิดมะเร็งได้ง่าย “สิ่งนี้เป็นกระบวนการความเครียดในร่างกายสะสมสารผิดปกติเข้ามามากเกินจนภูมิคุ้มกันทำงานตลอดเวลาอย่างเด็ก-ผู้สูงอายุมักทำให้ร่างกายปั่นป่วนแย่ลงเรื่อยๆอันมีความเชื่อมโยงการติดโควิด-19 เพราะบางคนปอดอักเสบเรื้อรังจากฝุ่น PM 2.5 อยู่แล้ว เมื่อติดโควิดก็ทำให้มีอาการรุนแรงปอดเสียหายมาก” ผศ.ดร.กฤษณาพรว่าถัดมา “ฝุ่น PM 2.5 ทำลายเซลล์–เนื้อเยื่อ” โดยเฉพาะเซลล์เยื่อบุทางเดินหายใจเกิดความเสียหายนำไปสู่ “อักเสบเรื้อรัง” ไม่เท่านั้นยังมีสารพิษ เช่น โลหะหนัก สารเคมี ทำลายเซลล์โดยตรง ถ้าเข้าสู่กระแสเลือดจะกระจายไปยังอวัยวะอย่างหัวใจ สมอง ไต เกิดการอักเสบอย่าง “สมอง” เสี่ยงโรคทางระบบประสาทอัลไซเมอร์นอกจากนี้ยังตอบสนองต่อ “เนื้อเยื่อเสียหายเกิดการอักเสบ” เป็นปัจจัยเสี่ยงสู่โรคเรื้อรัง เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) โรคหัวใจ และมะเร็ง ส่วนใหญ่มักเป็นผลระยะยาวจะทำให้การทำงานของปอดถดถอย อาจเกิดโรคถุงลมโป่งพองได้ แม้ว่าคุณจะไม่สูบบุหรี่ก็ตาม และเพิ่มโอกาสทำให้เกิดมะเร็งปอดได้อีกด้วย ดังนั้น การสัมผัส PM 2.5 เป็นเวลานานพบว่า “อัตราการตายจากโรคระบบทางเดินหายใจและหัวใจจะเพิ่มขึ้น 6–13%” ในทุก 10 ไมโครกรัม/ลบ.ม.ที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะผู้สูงอายุ เด็ก และหญิงตั้งครรภ์ที่จะส่งผลกระทบต่อทารกในครรภ์กำลังพัฒนา อาจได้รับผลกระทบจากมลพิษที่แม่ได้รับผ่านสายรกแน่นอนว่า “แหล่งกำเนินฝุ่น PM 2.5 มาจากการเผาและไอเสียรถยนต์” นโยบายที่ถูกต้องควรลดและควบคุมแหล่งกำเนิดเหล่านี้จะทำให้ฝุ่นพิษน้อยลง และลดผลกระทบต่อสุขภาพประชาชนตามมาด้วย.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม