การก่อเกิดพรรค “ประชาชน” ที่ต่อยอดมาจาก “ก้าวไกล” นั้นคงสร้างความสั่นไหวให้ “เพื่อไทย” ไม่น้อย เพราะยังครบเครื่องไม่ต่างกับของเดิมเพียงแต่เปลี่ยนแปลงตัวบุคคลเข้ามาบริหารเท่านั้นที่เป็นจุดสำคัญก็คือประชาชนยังให้การสนับสนุนไม่เปลี่ยนแปลงจากการสมัครเป็นสมาชิกพรรคและยอดบริจาคย่อมเป็นปรากฏการณ์ที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า “นี่คือของจริง” ไม่ใช่ “สร้างภาพ”ด้วยปัจจัยที่เกิดขึ้นมานี้ย่อมทำให้ “เพื่อไทย” คู่แข่งสำคัญต้องเตรียมรับมือตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปหากหวังจะชนะเลือกตั้งในปี 2570เริ่มจากการรักษาความเป็นปึกแผ่นในรัฐบาลปัจจุบัน 314 เสียงนั้นมีความหมายยิ่งที่จะต้องกอดคอกันเป็นรัฐบาลให้นานที่สุดที่มีข่าวว่าจะดึงประชาธิปัตย์มาร่วมรัฐบาลนั้นคงเป็นแค่ข่าวเท่านั้น เพราะไม่มีความจำเป็นและไม่มีประโยชน์อันใดมีแต่ทำให้เกิดปัญหาในพรรคร่วมรัฐบาลมากกว่าหรืออีกด้านหนึ่งอาจทำให้พรรคบางพรรคที่หวังชิงเก้าอี้นายกรัฐมนตรีนั้นก็เป็นเรื่องที่คาดเดากันไปเองเพราะจะไปถึงขั้นนั้นได้ต้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า “เศรษฐา” ทำผิดจริง ซึ่งดูแล้วยังเป็นเรื่องที่เลือนลางหรือมีความเป็นไปได้น้อยมากสิ่งที่ปรากฏวันนี้อย่างน้อยก็ 2 เรื่อง1.“เพื่อไทย” ยอมหลีกทางให้ “ภูมิใจไทย” ได้เก้าอี้รองประธานสภาฯ คนที่ 1 คือ “ภราดร ปริศนานันทกุล” อย่างดุษณี ให้ไปแข่งกับ “ประชาชน” เอง2.การเลือกตั้งซ่อมที่พิษณุโลกแทน “ปดิพัทธ์ สันติภาดา” ที่ต้องพ้นจากตำแหน่งเนื่องจาก “ก้าวไกล” ถูกยุบ ซึ่ง “ปดิพัทธ์” สมัยเป็นกรรมการบริหารพรรคปรากฏว่าเพื่อไทยขอถาม “พลังประชารัฐ” ก่อนว่าจะส่งผู้สมัครหรือไม่เพราะเป็นพื้นที่เดิมของเขาด้วย อีกทั้งยังประกาศว่าจะส่งผู้สมัครก็เท่ากับเป็นการเปิดทางโดยปริยายความจริงแล้วถ้า “ประชาชน” ชิงกับ “เพื่อไทย” มวยถูกคู่คงจะสนุกกว่า เป็นการวัดพลังกันก่อนที่จะสู้กันในการเลือกตั้งใหญ่แต่อย่างน้อยก็เป็นการวัดความนิยมของ “ประชาชน” กับพรรครัฐบาลว่าจะเทเสียงให้ฝ่ายไหน และยังวัดว่าการประเดิมในสนามเลือกตั้งครั้งแรกนั้น“ประชาชน” ได้กระแสตอบรับดีหรือไม่?อีก 3 ปีกว่าจะถึงเลือกตั้งใหญ่เพื่อชิงธงนำในเวทีการเมืองที่มีตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและอำนาจรัฐนั้นไม่ว่าพรรคไหนก็ต้องการแต่พรรคที่มีความเป็นไปได้สูงคือ “เพื่อไทย”-“ภูมิใจไทย”-“ประชาชน”ดังนั้น การปูพื้นเพื่อรองรับจึงต้องดำเนินการตั้งแต่เนิ่นๆ นอกจากการชูนโยบายพรรคแล้วการมีพันธมิตรทางการเมืองก็เป็นเรื่องสำคัญ“ก้าวไกล” น่าจะมีบทเรียนเป็นอย่างดีหลังจากไม่สามารถก้าวขึ้นไปสู่การกุมอำนาจและครองตำแหน่งผู้นำประเทศได้ก็เพราะการไม่มีมิตรทางการเมือง และนโยบายที่สุดโต่งเกินไปไม่ใช่แค่ สว.ไม่เอาด้วยเท่านั้น พรรคการเมืองเกือบทุกพรรคก็ไม่ต่างกันกลายเป็นพรรคหัวเดียวกระเทียมลีบจนต้องกลายเป็นฝ่ายค้านจนถึงวันนี้!“สายล่อฟ้า”คลิกอ่านคอลัมน์ "กล้าได้กล้าเสีย" เพิ่มเติม