การหาเสียงของพรรคการเมืองในการเลือกตั้งที่ผ่านมา นโยบายหลักของทุกพรรคเห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญปี 2560 ตั้งแต่วิธีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ง่ายขึ้นไปจนถึงกติกาการเลือกตั้งและที่มาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยเฉพาะ ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของประเทศ เข้าใจว่าอารมณ์ตอนนั้น คืออยากจะสกัด พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พรรคอนุรักษ์นิยม ก็เลยยก กรณีของ พล.อ.ประยุทธ์และ 250 สว. มาเป็นกรณีจำเป็นเร่งด่วนในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยอ้างว่า จะได้เป็นประชาธิปไตยล้าง คราบเผด็จการรัฐบาลตอนนี้ก็คือพรรคฝ่ายค้านตอนนั้น ไม่เอาพรรคอนุรักษ์อยู่แล้ว ชาวบ้านก็คงเบื่อรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ก็เลยมีอารมณ์ร่วมอยากจะแก้รัฐธรรมนูญด้วย โดยเฉพาะเนื้อหาที่ให้อำนาจ คสช.บริหารประเทศโดยตรง ที่ได้รับการยกเว้นในข้อกฎหมาย หรืออยู่เหนือระบบนิติบัญญัติและตุลาการ อารมณ์จะอยู่ประมาณนั้น อยากจะปฏิรูปแต่มีเงื่อนไขคือ ไม่แตะต้องหมวด 1 และหมวด 2 ซึ่งการแก้รัฐธรรมนูญทุกครั้งก็ไม่มีการแตะต้องทั้งสองหมวดนี้อยู่แล้ว มีเพียง พรรคก้าวไกล ที่ยืนยันว่าต้องการปฏิรูป แต่ก็ไม่ได้พูดถึงรายละเอียดจะปฏิรูปอะไรอย่างไร เข้าใจว่าก้าวไกลเองก็ไม่กล้าที่จะไปแตะต้อง หรือรื้อทั้งสองหมวดอยู่แล้ว (เป็นการตลาด)ดังนั้น เมื่อ เพื่อไทย เป็นแกนนำในการตั้งรัฐบาล โดยสลับขั้วไปจับมือกับ ฝ่ายอนุรักษ์ ก็คงจะเป็นเพราะประเด็น ปฏิรูป ของก้าวไกลที่ทำให้ทั้งสองพรรคจับมือกันไม่ได้ รู้ล่วงหน้าว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ซึ่ง พรรคเพื่อไทย เคยประสบมาแล้วในการตั้งรัฐบาลก่อนหน้านี้ได้เสียงข้างมากเข้ามาก็ตั้งรัฐบาลไม่ได้ก้าวไกล จะเดินหน้าก็ไม่ได้ จะถอยหลังก็ไม่ได้มาจนถึงทุกวันนี้ ดูจากความพยายามที่จะแก้รัฐธรรมนูญของก้าวไกล ที่ พริษฐ์ วัชรสินธุ พยายามอธิบายเรื่องของ การทำประชามติ ในการแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ ระบุประชามติในช่วงแรกจะไม่เกิดขึ้นในช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค. ตามที่ฝ่ายรัฐบาลแจ้งไทม์ไลน์ แน่นอนเพราะมติที่ ครม.ให้มีการแก้ไข พ.ร.บ. ประชามติ ให้เรียบร้อยก่อน ถึงจะจัดทำประชามติได้พบว่ารัฐบาลได้สื่อสารคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับกรอบเวลาในการทำประชามติครั้งแรกหลังจากการประชุม ครม. เพราะกว่าจะแก้กฎหมายประชามติเสร็จต้องใช้เวลา 90-120 วัน จากนั้นจึงจะเริ่มต้นการทำประชามติจริงๆกว่าสภาจะเปิดสมัยประชุมกว่าจะบรรจุร่างเข้าสู่ที่ประชุมสภา ก็เดือน มิ.ย.ไปแล้ว ทำประชามติกัน 3 รอบ กว่าจะตั้ง ส.ส.ร. กว่าจะเสนอร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญได้กว่าจะพิจารณากันจนครบ 3 วาระ ตั้งกรรมาธิการขึ้นมาพิจารณาส่งให้ สว.เห็นชอบ จะได้เห็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญในสมัยรัฐบาลชุดนี้หรือเปล่าก็ยังไม่รู้เลยแม้แต่การแก้ไขรัฐธรรมนูญยังไม่เป็นประชาธิปไตยอยู่ภายใต้อำนาจของรัฐบาลและ สส.เสียงข้างมาก เป็นเกมการเมือง เพราะฉะนั้นต่อให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ยังไม่เป็นประชาธิปไตยเต็มใบอยู่ดี ประชาชนก็ไม่รู้ว่าจะแก้รัฐธรรมนูญกันทำไม พล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่ได้เป็นนายกฯแล้ว การเมืองผสมพันธุ์ ข้ามขั้วกันเรียบร้อยแล้วนอกจากจะเป็นประชาธิปไตยที่กินไม่ได้ ยังอยู่ภายใต้เผด็จการเสียงข้างมาก (เดิมๆ)หมัดเหล็กmudlek@thairath.co.thคลิกอ่านคอลัมน์ "คาบลูกคาบดอก" เพิ่มเติม