เหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ในภาคใต้ครั้งนี้ “ทำลายอาคาร บ้านเรือน หรือวิถีชีวิตของผู้คนมากมาย” แถมยังฝากบาดแผลทางใจไว้อย่างลึกซึ้งให้กับผู้ประสบภัย โดยเฉพาะผู้ที่ต้องสูญเสียคนรัก ทรัพย์สินเสียหายหนัก หรือคนเผชิญเหตุเฉียดตายจากภัยพิบัติด้วยตัวเองในครั้งนี้แม้ว่าหลังจากภัยพิบัติผ่านไปแล้ว “ภาพเหตุการณ์รุนแรง และความสูญเสียยังคงวนเวียนอยู่ในความทรงจำ” ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวัน และความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ทำให้ผู้ประสบภัยหลายคนต้องเผชิญความเครียดสะสมจากความหวาดกลัว หมดหวัง และบางรายกำลังจะพัฒนาสู่ภาวะซึมเศร้าสู่การทำร้ายตัวเองตามรายงาน “กระทรวงสาธารณสุข (สธ.)” ยืนยันตัวเลขผู้เสียชีวิตจากสถานการณ์น้ำท่วมภาคใต้ข้อมูลวันที่ 2 ธ.ค.2568 รวมทั้งสิ้น 267 ศพ แบ่งเป็น จ.สงขลา 229 ศพ, นครศรีธรรมราช 10 ศพ, ตรัง 3 ศพ, พัทลุง 4 ศพ, สตูล 3 ศพ, ปัตตานี 9 ศพ, ยะลา 5 ศพ และ จ.นราธิวาส 4 ศพ ทำให้ต้องส่งทีม MCATT ตรวจสอบสุขภาพจิต 7,340 คน พบเครียดสูง 269 คน เสี่ยงฆ่าตัวตาย 65 คน และส่งต่อดูแล 126 คน ในการฟื้นฟูกำลังใจ และเยียวยาจิตใจของผู้ประสบภัยนี้ นพ.ยงยุทธ วงศ์ภิรมย์ศานติ์ อดีตนายกสมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไทย บอกว่า ภัยพิบัติน้ำท่วมมักทำให้เกิดภาวะความเครียดเป็นเรื่องปกติประเด็นสำคัญคือ “จะมีวิธีป้องกันอย่างไรไม่ให้ความเครียดกระทบต่อสุขภาพกายใจ” โดยหลักการรับมือมีอยู่ 2 ระดับที่จะช่วยลดผลกระทบของความเครียด และฟื้นฟูสภาพจิตใจให้ดีขึ้น คือ ระดับแรก...“การพึ่งพาพลังชุมชน” ด้วยปัจจุบันผู้ประสบภัยต่างขอความช่วยเหลือจากภาครัฐที่เป็นการเยียวยาในระดับรายบุคคลอย่างเช่นเงินช่วยเหลือค่าซ่อมแซมบ้าน “ช่วยบรรเทาเฉพาะหน้า” แต่ความเดือดร้อนครั้งนี้ใหญ่กว่านั้น การช่วยเหลือแบบรายบุคคลเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพออาจทำให้เกิดความเครียดเพิ่มขึ้น แล้วสถานการณ์น้ำท่วมความเสียหายแต่ละบ้านก็ไม่เท่ากัน หากทุกคนต่างจัดการซ่อมบ้าน และล้างโคลนด้วยตัวเองก็จะใช้เวลามากถ้าชุมชนรวมพลังกันช่วยเหลือแก่ “ผู้เดือดร้อนที่สุดก่อน” จะแก้ปัญหาได้เร็วขึ้นจนเกิดความรู้สึกดีทางจิตใจและเปลี่ยนจากเหยื่อภัยพิบัติเป็นผู้ร่วมกอบกู้วิกฤติกับชุมชนช่วยฟื้นฟูสุขภาพจิตป้องกันปัญหาในระยะยาว ในทางกลับกัน “ผู้ประสบภัยรอความช่วยเหลือจากภาครัฐเพียงอย่างเดียว” มักล่าช้าและไม่เพียงพอก็จะทำให้เกิดความกังวลเครียดเพิ่มขึ้นอีก แต่พลังชุมชนใช้ความเชี่ยวชาญหลากหลาย และสายสัมพันธ์ในพื้นที่สามารถระบุผู้เดือดร้อนมาก-น้อยจัดลำดับความช่วยเหลือได้มีประสิทธิภาพในการฟื้นฟูระยะกลาง-ระยะยาวโดยเฉพาะพลังจิตอาสาที่มีเครือข่ายวอร์รูมระดมคนทั่วประเทศเข้ามาช่วยเหลือกัน สิ่งเหล่านี้ช่วยเสริมกำลังให้ “การช่วยเหลือผู้ประสบภัย” เพราะแม้เป็นคนนอกก็ยังอิงระบบของพลังชุมชนในการจัดแผนโดยมีแกนนำจากชุมชน และหน่วยงาน อบต. เทศบาล เป็นหลัก เพียงแต่แกนนำชุมชนต้องเข้าใจหลักการฟื้นฟูหลังวิกฤติให้ดีเพราะที่ผ่านมาเมื่อมีเหตุรุนแรงมักเกิดภาวะลนลานรีบทำอะไรให้เสร็จเร็วๆ “จนการฟื้นฟูไม่เป็นระบบ” ดังนั้นการฟื้นฟูที่ดีต้องอาศัยการวางแผน ความรู้เรื่องพื้นที่ การรู้จักคนในชุมชน และประเมินว่าใครควรได้รับการช่วยเหลือก่อน-หลัง เมื่อรวมพลังกันเป็นกลุ่ม และมีแกนนำคอยประสานก็จะช่วยให้การฟื้นฟูมีประสิทธิภาพประการที่สอง “ระดับรายบุคคล” หลังผ่านวิกฤติผู้ประสบภัยมักเผชิญความเครียดสะสมนำไปสู่ปัญหาสุขภาพจิต เช่น วิตกกังวล นอนไม่หลับ อาจพัฒนาเป็นภาวะซึมเศร้ามีอาการท้อแท้หมดหวังขาดกำลังใจ โดยเฉพาะผู้เจอเหตุการณ์ตรง หรือกลุ่มที่สูญเสียคนใกล้ชิดต่อหน้า หรือเห็นอุบัติเหตุจากน้ำท่วมอย่างกะทันหันความเครียดประเภทนี้ “จะลืมไม่ลงเกิดเป็นบาดแผลทางใจ หรือ PTSD” แม้ผ่านไปเป็นเดือนก็ยังมีภาพผุดขึ้นมาในหัวเป็นฝันร้ายซ้ำๆ ผวาเมื่อเจอสิ่งที่คล้ายเหตุการณ์เดิม “อาการนี้เป็นสัญญาณของบาดแผลทางใจ” ที่ต้องให้ความใส่ใจด้วย 2 แนวทาง คือ 1.ใช้พลังชุมชน ให้ผู้ประสบภัยรู้สึกไม่โดดเดี่ยว มีคุณค่า และเห็นทางออกข้อ 2.ดูแลกันในครอบครัว ผ่านการสังเกต การพูดคุย และให้กำลังใจ ซึ่ง 2 ส่วนนี้จะช่วยประคับประคองจิตใจ ลดความเครียดและป้องกันปัญหาสุขภาพจิตระยะยาว โดยจะมีบุคลากรสาธารณสุขทั้งคนในพื้นที่ และคนนอกพื้นที่ที่เข้ามาช่วยสนับสนุนกันเข้ามาเสริมช่วยดูแลในการเยียวยาด้วย แต่สิ่งที่ต้องระวังคือ “ความเศร้ารุนแรงจนเสี่ยงต่อการไม่อยากมีชีวิตอยู่” โดยอาการลักษณะนี้ไม่ได้เกิดขึ้นในทันทีจะเริ่มปรากฏหลังเหตุการณ์ผ่านไป 1 เดือน เมื่อความเครียดสะสมกลายเป็นภาวะซึมเศร้าในบางคน จึงเป็นเหตุผลที่การระดมพลังชุมชน และการดูแลกันภายในครอบครัวคนใกล้ชิดจะช่วยลดความเสี่ยงเหล่านี้ได้ส่วนสัญญาณเตือนว่า “คนที่เครียดรุนแรงจนเสี่ยงจะทำร้ายตัวเองนั้น” สามารถสังเกตได้จากการแยกตัวจะเป็นสัญญาณกำลังซึมเศร้าหนักจนไม่เข้าสังคม “บ่นไม่อยากอยู่” จุดนี้เริ่มมีความคิดอยากทำร้ายตัวเอง และมีโอกาสพัฒนาเป็นการลงมือทำได้ “สั่งเสีย” เป็นสัญญาณที่ถือว่าอันตรายที่สุดเพราะแสดงว่ากำลังเตรียมการแล้ว“เหล่านี้เป็นสัญญาณว่าบุคคลนั้นไม่อาจรับมือด้วยตัวเองได้และจิตใจอยู่ในภาวะเจ็บป่วยลึก ซึ่งคนใกล้ชิดจำเป็นต้องรีบพาไปพบผู้เชี่ยวชาญหรือทีมสาธารณสุขทันที ซึ่งตอนนี้มีทั้งหน่วยบริการที่เป็นแพทย์สนาม และโรงพยาบาลที่เริ่มกลับมาเปิดให้บริการแล้ว สามารถไปขอคำปรึกษาและรับการประเมินอาการได้” นพ.ยงยุทธ ว่า สำหรับกลุ่มต้องระวังเป็นพิเศษคือ “คนที่ได้รับความเสียหายหนัก” เพราะการฟื้นฟูเขาจะยาวนานมักเกิดความเครียดสะสม ดังนั้นเหตุผลว่าทำไมข้อแรกๆที่พูดถึงการสร้างพลังชุมชนมีความสำคัญ เนื่องจากสามารถทำให้คนเหล่านี้รู้สึกมีความหวัง “ไม่รู้สึกว่าต้องฟื้นตัวลำพัง” เมื่อเขาเห็นว่าคนอื่นเดือดร้อนเหมือนกันยังมาช่วยได้ทำให้เขายังมีหนทางรื้อฟื้นกิจการตัวเอง สิ่งเหล่านี้จะช่วยไม่ให้จิตใจถลำลึกไปจนถึงจุดที่เสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้าหรือการทำร้ายตัวเอง แล้วในส่วนของภาครัฐในการช่วยเหลือมักจะเป็นลักษณะรายบุคคล “ควรบริหารจัดการให้ดี” ทั้งความรวดเร็ว ความถูกต้อง และความเหมาะสมกับระดับความเสียหายแต่ละครัวเรือนกระบวนการประเมินความเสียหาย และจ่ายค่าชดเชยต้องทำอย่างโปร่งใสและจริงใจ ถ้ามีข่าวเรื่องการคอร์รัปชัน หรือความไม่เป็นธรรมหลุดออกมาจะทำให้ประชาชนรู้สึกเสียใจ โกรธและอาจเกิดความแค้นตามมาได้ย้ำว่าการฟื้นฟูผู้ประสบภัยน้ำท่วมต้องอาศัยพลังชุมชน ครอบครัว บุคลากรสาธารณสุข และความโปร่งใสของภาครัฐทำงานร่วมกัน ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการฟื้นทางกายและใจอย่างแท้จริง.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม