ไอซ์-สารวัตรและกลุ่มเพื่อนสนิทรวม 5 คน เข้าพบตำรวจแจงปมคดีเงื่อนงำ “ณัฐวุฒิ ปงลังกา” เสียชีวิตจากไซยาไนด์ตำรวจสอบเครียดนานกว่า 4 ชม. เผยเหลือสอบพยานอีก 2 ปาก และตรวจบ้านเกิดเหตุ ยังไม่ลงลึกเป็นเหตุฆ่าตัวตายหรือฆาตกรรม ขณะที่โฆษกนิติวิทยาศาสตร์สรุปถอดบทเรียนจากคดีเก่าทำให้ผลตรวจออกมาอย่างรวดเร็วตำรวจเร่งไขข้อข้องใจเกี่ยวกับคดีการเสียชีวิตอย่างปริศนาของนายณัฐวุฒิ หรือนัทปง ปงลังกา อายุ 35 ปี นักข่าวและผู้ประกาศข่าวช่อง 8 ภายในทาวน์โฮม 2 ชั้นเลขที่ 99/179 หมู่ 9 ต.บางกรวย จ.นนทบุรี เมื่อช่วงเช้าวันที่ 30 พ.ย. ออกหมายเรียก “ไอซ์-สารวัตร กิจพานิช” ผู้ประกาศข่าวช่อง 8 สาเหตุเนื่องจากเป็นเพื่อนสนิทเข้าไปบ้านที่เกิดเหตุหยิบถุงที่ใส่ผงสีขาวส่งให้หมอตรวจสอบ กระทั่งทราบว่าเป็นสารไซยาไนด์ เมื่อสถาบันนิติวิทยาศาสตร์แจ้งตำรวจว่า ตรวจศพพบมีสารไซยาไนด์ในร่างกายในปริมาณสูงเป็นเหตุให้เสียชีวิต กลายเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญที่ไม่นำส่งให้ตำรวจ ไอซ์-สารวัตรเป็นบุคคลที่เกี่ยวพันในคดีนี้ รวมทั้งออกหมายเรียกเพื่อนอีก 4 คนที่ตั้งวงดื่มเหล้าที่บ้านเกิดเหตุ ชื่อ น.ส.ออ น.ส.โอ เป็นเพื่อนทำงานที่เดียวกับผู้ตาย และชายอีก 2 คน เป็นเพื่อนสนิทของผู้ตายเช่นกันคือนายบิ๊กเป็นนักศึกษาแพทย์ ม.พะเยา และนายต้น ทำงานเป็นบุรุษพยาบาล ขณะที่ญาติจัดพิธีเผาหลอกที่วัดริมกก อ.เมืองเชียงราย แล้วนำร่างกลับไปที่สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ อ.เมืองปทุมธานี เพื่อนำมาเก็บไว้รอตรวจชันสูตรหากเกิดข้อสงสัยในคดีความคืบหน้าเมื่อเวลา 07.00 น. วันที่ 7 ธ.ค. อาสามูลนิธิแสงธรรมสาธารณกุศลเชียงรายขับรถตู้ ทะเบียน ยม 1669 เชียงใหม่ นำร่างของนายณัฐวุฒิ หรือนัทปง ปงลังกา มาถึงสถาบันนิติวิทยาศาสตร์กระทรวงยุติธรรม มีนายธงไทย หรือแอมป์ ระวังวงศ์ เป็นเพื่อนสนิทนั่งอยู่ในรถตู้ด้วย เจ้าหน้าที่นำร่างของนัทปงบรรจุอยู่ในโลงสีขาวถูกห่อหุ้มด้วยถุงพลาสติกห่อศพอีกชั้นเข้าไปในห้องผ่าชันสูตร นายแอมป์เปิดเผยว่า ตนพาร่างนัทมาส่ง ส่วนรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับการนำศพนั้นตนไม่ทราบ ส่วนแชตของคนชื่ออักษร ก.เกี่ยวกับเรื่องของไซยาไนด์ ตนไม่รู้ว่าเป็นใคร จากนั้นขอตัวกลับพร้อมกับรูปภาพของนัทถ่ายคู่กับสุนัขสีขาวที่ สภ.บางกรวย จ.นนทบุรี กลุ่มเพื่อนผู้ตาย 4 คนเริ่มทยอยเดินทางเข้าพบพนักงานสอบสวน เริ่มจากนายบิ๊ก นักศึกษาแพทย์ ม.พะเยา เพื่อนสนิทของผู้ตายเดินทางมาเป็นคนแรก ตามมาด้วย น.ส.โอ น.ส.ออ และนายต้น เพื่อเข้าให้ปากคำกับพนักงานสอบสวนเกี่ยวกับคดีการเสียชีวิตของนายณัฐวุฒิ ทั้งหมดร่วมวงสังสรรค์อยู่ในบ้านคืนก่อนเกิดเหตุ นายต้น น.ส.โอ และ น.ส.ออ มีสีหน้าเรียบเฉย ส่วนนายบิ๊กมีสีหน้ากังวล ผู้สื่อข่าวสอบถามนายบิ๊กว่ามีส่วนเกี่ยวข้องและกังวลหรือไม่ นายบิ๊กตอบเพียงสั้นๆว่า ขอเข้าให้ปากคำกับตำรวจก่อน ตามมาด้วยนายไอซ์-สารวัตรเดินทางเข้าพบตำรวจพร้อมนำโทรศัพท์มือถือของผู้เสียชีวิตมามอบไว้เป็นหลักฐาน เพื่อนผู้ตายเดินทางมาให้การครบ 5 คนไอซ์-สารวัตรเปิดเผยว่า วันนี้เดินทางเข้าให้ปากคำกับตำรวจเรื่องโทรศัพท์มือถือของนัทที่ครอบครัวเขามอบหมายให้ตนเปิดดูก่อนหน้านี้แล้ว ส่วนข้อมูลในเรื่องของสาเหตุการเสียชีวิตนั้น ไม่ได้มีข้อมูลอะไร ไม่มีว่าการตายเป็นอย่างไร และดูวงจรปิดตั้งแต่วันแรก ดูได้ไม่หมด เพราะว่าภาพเยอะมาก ขอคุยรายละเอียดกับตำรวจก่อน เรื่องของหลักฐาน ตนดูเฉพาะบางส่วนในฐานะคนรู้จักตามมารยาท เพราะมือถือเป็นเรื่องส่วนบุคคล ตนได้รับโทรศัพท์มาจากทางญาติ คนที่เอามือถือออกไปจากบ้านน่าจะเป็นญาติ ส่วนในรายละเอียดอื่นๆของเรื่องโทรศัพท์ตนขอให้ปากคำกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไอซ์-สารวัตร เปิดเผยอีกว่า อยากคุยเรื่องการตรวจค้นบ้านวันนี้และเรื่องกุญแจบ้านว่า ตนไม่ยอมเอากุญแจบ้านมาให้ น่าจะเป็นปัญหาเรื่องการสื่อสาร ตนไม่อยากโทษใคร นัดกับตำรวจในฐานะคนกลางไม่ได้เป็นเจ้าทุกข์ การเปิดบ้านญาติก็ยินยอมแต่เวลาไม่ตรงกัน จะนัดกันใหม่เพราะทางครอบครัวไม่สะดวกในการเดินทางมา ตนเป็นแค่คนประสานกับทางญาติเท่านั้น ไม่ได้ถือกุญแจบ้านทั้งก่อนเสียชีวิตและหลังเสียชีวิตภายหลังการสอบสวนเกือบ 4 ชั่วโมง น.ส.โอ และ น.ส.ออ เดินทางกลับ น.ส.โอ เปิดเผยว่า วันนี้พนักงานสอบสวนเชิญมาให้ข้อมูลว่า วันดังกล่าวเกิดอะไรขึ้น ยืนยันว่าตอนทานข้าวอยู่ในบ้าน นัทคุยเรื่องงานปกติ และตอนนั้นอารมณ์ทุกคนก็ปกติ นัทบอกว่ามีความสุขกับการทำงาน ไม่ได้ทะเลาะอะไรกัน และไม่มีสัญญาณอะไรที่พูดถึงเรื่องการฆ่าตัวตาย และคุยเรื่องอนาคตว่าจะทำอะไรต่อ ส่วนตัวเคยเจอนายบิ๊กมาก่อน แต่ไม่ได้เจอบ่อยและไม่ได้สนิท ตนสนิทกับนัทและนายต้นเท่านั้น ส่วนเรื่องข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องไซยาไนด์ขอไม่ให้ข้อมูลใดๆ ส่วนเรื่องแชต นาย ก. ตนให้ข้อมูลกับตำรวจไปหมดแล้วช่วงบ่ายวันเดียวกัน พล.ต.ท.วัฒนา ยี่จีน ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.วิชิต บุญชินวุฒิกุล รอง ผบช.ภ.1 พล.ต.วรชาติ แสนคำ ผบก.สส.ภ.1 พล.ต.ต.เดชรพี คงดี ผบก.ภ.จ.นนทบุรี พ.ต.อ.ประธาน นันทกอบกุล รอง ผบก.สส.ภ.1 พ.ต.อ.วิทิต จันทร์เอี่ยม รอง ผบก.สส.ภ.1 พ.ต.อ.พูนสุข เตชะประเสริฐพร ผกก.1 บก.สส.ภ.1 พ.ต.อ.กิตติศักดิ์ พงศ์ธนารักษ์ ผกก.สภ.บางกรวย พ.ต.อ.ศุภชัย ศรีศักดิ์ ผกก.สส.ภ.จ.นนทบุรี และคณะพนักงานสอบสวนที่ตั้งขึ้นมาทำคดี ประชุมคืบหน้าคดีการเสียชีวิตนายณัฐวุฒิขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่ตำรวจพิสูจน์หลักฐาน 1 และตำรวจพิสูจน์หลักฐาน จ.นนทบุรี เดินทางมาเพื่อตรวจเก็บลายนิ้วมือและดีเอ็นเอเพื่อน 4 คนประกอบด้วยนายบิ๊ก นายต้น น.ส.โอ และ น.ส.ออ เพื่อส่งไปตรวจเปรียบเทียบไว้เป็นหลักฐาน เนื่องจากเป็นบุคคลใกล้ชิดก่อนจะเกิดเหตุการเสียชีวิตต่อมาเวลา 15.30 น. พล.ต.ต.อรรถพล อนุสิทธิ์ รอง ผบช.ภ.1 พล.ต.ต.วรชาติ แสนคำ ผบก.สส.ภ.1 พล.ต.ต.เดชรพี คงดี ผบก.ภ.จ.นนทบุรี พ.ต.อ.กิตติศักดิ์ พงศ์ธนารักษ์ ผกก.สภ.บางกรวย ร่วมกันแถลงความคืบหน้าคดี พล.ต.ต.อรรถพลกล่าวว่า หลังจากประชุมตำรวจที่เกี่ยวข้องคดีนายณัฐวุฒิ และสอบปากคำพยานทั้ง 5 คน เป็นพยานสำคัญที่ใกล้ชิดกับผู้เสียชีวิต ยังมีอีกไม่กี่คนที่จะเรียกมาสอบภายหลัง ตอนนี้ต้องกั้นบ้านที่เกิดเหตุ ญาติแจ้งติดงานศพที่ จ.เชียงราย ตำรวจจะต้องขอตรวจอีกครั้งในวันที่ 11 ธ.ค. ส่วนเรื่องสารไซยาไนด์ที่อยู่ในบ้านยังไม่มีใครนำเอาออกมา ตรวจสอบแล้วว่าสารยังอยู่ในบ้านพล.ต.ต.อรรถพลกล่าวอีกว่า ส่วนเรื่องพินัยกรรม คาดว่าไม่น่ามีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่องการเสียชีวิต ประเด็นกล้องวงจรปิดที่ออกไปที่มีคำพูดแรง และปล่อยให้เสียชีวิตเบื้องต้น พยานให้ปากคำไว้ว่าคิดว่าผู้ตายแกล้ง ไม่คิดว่าจะกินยาจริงๆ ตอนนี้ญาติผู้ตายเปลี่ยนรหัสล็อกบ้านหลังการเสียชีวิต ตำรวจยังไม่สรุปว่าเป็นการฆ่าตัวตาย หรือการฆาตกรรม ก่อนหน้านี้ 1 เดือนผู้ตายเตรียมสารไว้แล้ว และยังมีพยานเพิ่มอีก 2 คนที่ต้องสอบปากคำผู้สื่อข่าวรับรายงานสรุปจาก นพ.ศราวุฒิ สุจริตธรรม ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านนิติเวช และโฆษกสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ นายธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ เลขานุการรัฐมนตรี พม. และ รศ.นพ.สมิทธิ์ ศรีสนธิ์ นายกสมาคมแพทย์นิติเวชฯว่า การเสียชีวิตปริศนาของนายณัฐวุฒิ ปงลังกา กลายเป็นคดีสะเทือนสังคม หลังผลตรวจทางพิษวิทยายืนยันว่า “ไซยาไนด์” คือ สารพิษที่อยู่ในร่างกายผู้ตาย และผลยืนยันออกภายในเวลาเพียง 3 วัน เรามักจะเคยได้ยินว่าผลการตรวจมักใช้เวลา 1-2 เดือน หลังจากการชันสูตร และบทความนี้คือการเจาะลึกลำดับเหตุการณ์ และการประสานงานหลังฉาก ที่ทำให้ผลตรวจออกได้อย่างรวดเร็วจุดเริ่มต้นความสงสัยจากประวัติที่รับแจ้งเพื่อการกู้ชีพ ขัดแย้งกับประวัติจากการตรวจที่เกิดเหตุจากการตรวจชันสูตร ณ วันที่เกิดเหตุ ไม่ได้มีการระบุถึงการใช้สารยาหรือสารพิษ แต่แพทย์ผู้ตรวจกลับได้รับข้อมูลแจ้งจากทางศูนย์วิทยุ รวมถึงข้อมูลรับแจ้งเพื่อเรียกทีมกู้ชีพว่า ผู้ตายอาจเกี่ยวข้องกับ “การใช้สารหรือยาเกินขนาด” และเมื่อประกอบกับข้อเท็จจริงว่าผู้ตายอายุยังน้อย มีโรคประจำตัว ไม่ได้มีอาการนำที่เกี่ยวข้องในวันที่เสียชีวิต และการเสียชีวิตเกิดขึ้นอย่างเฉียบพลัน ทำให้ทีมแพทย์หันไปจับที่สารพิษตั้งแต่ชั่วโมงแรก แต่ในหน้าสื่อจะชี้สาเหตุการเสียชีวิตเบื้องต้นไปทางไหลตายก็ไม่แปลก เนื่องจากการตรวจสารพิษต้องมีขั้นตอนการตรวจสอบที่รัดกุมและใช้เวลานอกจากนี้ เหตุจากคดี “แอม ไซยาไนด์” ทำให้ระบบนิติเวชเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด หลังการเสียชีวิตต่อเนื่องจากคดี “แอม ไซยาไนด์” สร้างแรงสั่นสะเทือนอย่างมากในสังคมไทย สมาคมแพทย์นิติเวชแห่งประเทศไทยและราชวิทยาลัยพยาธิแพทย์แห่งประเทศไทยร่วมกันหารือหลายครั้ง กระทั่งจัดทำแนวทางคัดกรองการตรวจสารพิษรวมถึงสารไซยาไนด์ในผู้เสียชีวิตที่เข้าเกณฑ์ต้องสงสัยอย่างเข้มงวดเป็นเหตุให้เกิดการตรวจพบการใช้สารไซยาไนด์ ในคดี “ตอง ชลดา” และสร้าง “ระบบเตือนภัยเงียบ” ว่า ถ้าลักษณะการตายที่ไม่สามารถระบุสาเหตุการตายแน่ชัด ต้อง “คิดถึงไซยาไนด์เป็นหนึ่งในสาเหตุเสียชีวิตด้วยเสมอ” ดังนั้นเมื่อคดีล่าสุดเกิดขึ้น แพทย์หลายฝ่ายเข้าสู่ “โหมดเฝ้าระวังสูงสุด” ในทันทีรายงานระบุด้วยว่าการประสานงานที่ต้องทำอย่างรวดเร็วที่สุดจากข้อสงสัยหลายประการข้างต้น ทางสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ มี นพ.ศราวุฒิ สุจริตธรรม แพทย์ผู้ตรวจศพ ประสานไปยัง รศ.นพ.สมิทธิ์ ศรีสนธิ์ นายกสมาคมแพทย์นิติเวชฯ เพื่อหารือถึงข้อสงสัยที่ต้องคลี่คลายโดยด่วนและขอความอนุเคราะห์ให้ห้องปฏิบัติการพิษวิทยาของสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และของ รพ.รามาธิบดี ช่วยเร่งรัดกระบวนการตรวจ เนื่องจากข้อสงสัยทั้งหมดทั้งมวล เหตุการเสียชีวิตชี้ไปทาง “พิษวิทยา” มากกว่า “โรคธรรมชาติ”ขณะเดียวกันมีข้อมูล “off the record” ถูกส่งถึงนายธนกฤต จิตรอารีย์รัตน์ ว่า พบสารต้องสงสัยในพื้นที่เกิดเหตุ ข้อมูลนี้ไม่ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ กลายเป็นจุดสำคัญที่ทำให้ต้องตรวจสอบอย่างเร่งด่วน เพราะหากสารดังกล่าวเป็นไซยาไนด์จริงจะเชื่อมโยงกับตัวผู้ตายได้ทันที นายธนกฤตมอบหมายให้ รศ.นพ.วีระศักดิ์ จรัสชัยศรี ทำการวิเคราะห์สารจากที่เกิดเหตุแบบเร่งด่วนในห้องปฏิบัติการ ทั้งสองส่วนต่างเดินหน้าตรวจสอบแบบคู่ขนาน ทั้งการตรวจสารจากศพ และการตรวจสารจากที่เกิดเหตุว่าเป็น “ไซยาไนด์” ทีมแพทย์สรุปทันทีว่า “สารที่ผู้ตายได้รับและเป็นเหตุให้เสียชีวิตคือไซยาไนด์แน่นอน” จากนั้นแจ้งข้อมูลไปยังพนักงานสอบสวนและผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่าย เพื่อให้เริ่มดำเนินการด้านกฎหมาย และการหาพยานหลักฐานต่อทันที นี่คือเหตุผลว่าทำไมคดีนี้เดินหน้าอย่างฉับไว เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมแก่ผู้ตายอย่างสูงสุดอ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่