หนังสือเล่มแรกของอาจารย์ ปรัชญา ปานเกตุ “ศัพท์สรรพรรณนา” สำนักพิมพ์สถาพรบุ๊คส์ พิมพ์ ก.พ.2565 ผมเลือกคัดเอามาใช้แล้วนับไม่ถ้วน เปิดเจอศัพท์ “กลีบเมฆ” ในวันนี้ ประหลาด!ที่ผมอมยิ้มผมคิดว่าถ้าพยายามมองโลกให้สวยเข้าไว้อีก ก็อาจจะหัวเราะเอิ๊กอ๊าก...ออกมาก็เป็นได้ได้เวลา ก็ควรหาความรู้จากเรื่องเมฆ จากอาจารย์ไว้ก่อน...“เมฆ” คือไอน้ำที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนลอยอยู่ในอากาศ การศึกษาเชิงเมฆวิทยา จำแนกเมฆตามรูปร่างได้ 3 ประเภทเมฆก้อน เห็นเป็นปุยก้อนสีขาวเหมือนขนแกะ เมฆแผ่น เห็นเป็นแผ่นบางเสมอกัน เมฆฝอย เห็นเป็นเส้นๆ หรือริ้วบางๆ หรือริ้วโค้งๆ เหมือนขนนกเมฆยังแบ่งละเอียดลงไปอีกมาก เหมือนนักพฤกษศาสตร์จำแนกพืช คือมี สกุล วงศ์ ชนิดและพันธุ์แต่คนรุ่นก่อน มองเมฆด้วยความรื่นรมย์มากกว่า (อือ!เหมือนที่ผมทำใจไว้นะ!) ใช้ภาษาไทย เรียกเมฆมากมาย แต่วุ่นวายน้อยกว่าชื่อวิทยาศาสตร์บางคำผูกจากภาพที่ประจักษ์ด้วยตา หลายคำเคล้าคลึงให้เอื้อต่อจังหวะลีลาและรสแห่งถ้อยคำอันต้องสัมผัสด้วยใจวันไหนอากาศดีไม่มีฝน สุดสายตาไกลลิบเห็นริ้วเมฆเหมือนขนนกโค้งบางพาดกลางท้องฟ้า เรียก “เมฆหางม้า”เมฆที่มองด้วยตาเปล่าเห็นว่ามีปริมาณมากกว่าเจ็ดในแปดของท้องฟ้า เรียกว่า “เมฆคลุ้ม”เมฆแผ่นบางลอยเรี่ยยอดเขาตอนเช้า หรือหลังฝนตก เรียกว่า “เมฆหมอก”เมฆที่ตั้งเค้าสีเทาทึมครึ้มมัว ก่อนลอยต่ำลงมาละลายตัวเป็นฝนเรียก “พยับเมฆ”วรรณคดีเรียกกิริยาที่ล่องลอยอยู่บนฟ้าว่า “ลอยเมฆ” หรือ “ลอยเมฆา” เช่น “เร่งรีบตามข้ามทะเลลอยเมฆา อสุราไสช้างมากลางพล” (สิงหไกรภพ)เรียกกิริยาที่มุดดั้นฝ่าไปในเมฆว่า “ดั้นเมฆ” เช่น “ผาดผันดั้นเมฆรีบลัด เร็วดังลมพัดก็ว่าได้” (บทละครเรื่องพระศรีเมือง)เรียกกิริยาที่แอบซ่อนในเมฆว่า “แฝงเมฆ” เช่น “รอนรอนอ่อนอัสดง พระสุริยงเย็นยอแสง ช่วงดังน้ำครั่งแดง แฝงเมฆเขาเมรุธร” (กาพย์พระไชยสุริยา)คราวนี้ ก็มาถึงศัพท์สำคัญ เมฆอยู่สูงมาก ส่วนของเมฆที่เรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ เมื่อมองจากพื้นดิน เรียกว่า “กลีบเมฆ”ตัวละครในวรรณคดีที่มีฤทธิ์เหาะเหินเดินอากาศได้ มักชอบเข้าไปแอบซ่อน หรือกำบังตนในนั้น ดังตัวอย่าง “หลบเข้ากลีบเมฆแฝงกาย ยิ้มพรายสำรวลสรวลสันต์” (บทละครเรื่องรามเกียรติ์ รัชกาลที่ 1)“แล้วขุนมารอ่านมนต์กำบังพลัน เหาะเข้าดั้นกลีบเมฆให้ลับตา” (ลักษณวงศ์)อาจารย์ปรัชญา ปล่อยมุกจบไว้ว่า มีสำนวนเรียกกิริยาหายลับกลับไปไม่ได้พบอีกว่า“หายเข้ากลีบเมฆ” ไม่ทราบว่าเพราะอะไรส่วนใหญ่ จึงใช้แก่เรื่องยืมเงินแล้วไม่คืนอาจารย์เขียนเผยแพร่เรื่องหายเข้ากลีบเมฆไว้ เมื่อ 15 ม.ค.2564ผมเดาเอาว่า ตอนนั้นคงมีเรื่องแบบนี้เป็นข่าวดัง สำหรับผม ตอนนี้พอเปิดหนังสืออาจารย์เจอคำว่า “กลีบเมฆ” จึงยิ้มจนเกือบปล่อยหัวเราะเอิ๊กอ๊าก ออกมานึกถึงใครบางคน บนโรงพยาบาลชั้น 14 น่ะครับท่านอยู่มานานในกลีบเมฆชั้นนั้นเกินร้อยวัน มีข่าวบ้างก็น้อย จนใช้คำเรียกว่า หายเข้ากลีบเมฆได้เต็มปากเต็มคำ.กิเลน ประลองเชิงคลิกอ่านคอลัมน์ “ชักธงรบ” เพิ่มเติม