นายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน มาจากนักธุรกิจผู้มั่งคั่ง ไม่เคยเป็น สส. เพียงแต่เคยเป็นผู้สมัครนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย เคยออกไปหาเสียงกับประชาชนจึงอาจเข้าใจระบบการเมืองการปกครอง ตามรัฐธรรมนูญ 2560 คลาดเคลื่อน เมื่อถูกถามถึงการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม จึงบอกว่าเป็นหน้าที่ของสภาแม้จะถูกสื่อมวลชนถามยํ้านายกรัฐมนตรีก็ยืนยันว่าเป็นเรื่องของรัฐสภาหรือฝ่ายนิติบัญญัติ สส.ทราบเรื่องดี เพราะทุกท่านมาจากการเลือกตั้งทุกคนฟังเสียงประชาชน แต่ความจริงก็คือการเมืองไทยภายใต้รัฐธรรมนูญ 2560 เป็นการปกครองระบบรัฐสภา แม้จะเป็นประชาธิปไตยแค่ครึ่งใบระบบรัฐสภาไม่ได้แยกอำนาจนิติบัญญัติ และอำนาจบริหารออกจากกัน อำนาจทั้งสองมีที่มาเดียวกัน คือ พรรคที่มีเสียงข้างมากในสภาอาจจะเป็นพรรคเดียวหรือหลายพรรค ทั้งสองฝ่ายแบ่งหน้าที่กันทำ คณะรัฐมนตรีมาจาก สส.อาวุโสหรือผู้เชี่ยวชาญ ส่วน สส.ทั่วไปทำหน้าที่นิติบัญญัติ แต่รับผิดชอบร่วมกันนโยบายการบริหารประเทศส่วนใหญ่มาจากพรรค เริ่มต้นด้วยการหาเสียง เช่น นโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตให้ผู้มีอายุ 16 ปี คนละหมื่นบาท หรือนโยบายแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตย หรือ พ.ร.บ.นิรโทษกรรมล้วนแต่มาจากพรรค จากนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี หรือ สส. ไม่ใช่เรื่องของ สส.ฝ่ายเดียวประชาธิปไตยระบบรัฐสภาแบบอังกฤษ ต่างจากระบอบประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา เพราะระบอบประธานาธิบดีแยกอำนาจบริหารกับนิติบัญญัติออกจากกันเด็ดขาด ประธานาธิบดีไม่ต้องมาจากเสียงข้างมากในสภา เช่นในปัจจุบัน ประธานาธิบดีไบเดน มาจากพรรคเดโมแครต แต่ สว.ข้างมากมาจากพรรครีพับลิกันประธานาธิบดีที่ไม่มี สส.ข้างมากในสภา สามารถบริหารประเทศได้ แต่ระบบรัฐสภาฝ่ายบริหารกับนิติบัญญัติเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน จึงจะสามารถปกครองประเทศได้ รัฐบาลสามารถทำตามนโยบายที่สัญญาต่อประชาชนได้ การบริหารประเทศไม่ใช่หน้าที่รัฐบาลฝ่ายเดียว การตรากฎหมายก็ไม่ใช่หน้าที่สภาฝ่ายเดียวน่าเป็นห่วงว่าประเทศไทยมีการปลูกฝังความคิดที่ผิดๆทางการเมือง เช่น อ้างว่าห้ามแก้ไข ม.112 โดยเด็ดขาด เพราะเป็นการล้มล้างการปกครอง ทั้งๆที่ไม่มีรัฐธรรมนูญมาตราไหนห้ามแก้ไข และเคยแก้ไขกันมาแล้ว โดยเพิ่มโทษจากจำคุกไม่เกิน 7 ปี เป็นจำคุกตั้งแต่ 3 ถึง 15 ปี เท่ากับโทษฆ่าคนตายโดยไม่เจตนา.คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม