แม้นทั่วโลกมีเทคโนโลยีทันสมัย “แผ่นดินไหว” ยังเป็นภัยพิบัติที่ไม่อาจแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าได้ ทำให้ประเทศไทยตกอยู่ในสถานะความเสี่ยงที่พร้อมมาเยือนได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะรอยเลื่อนมีพลัง 16 กลุ่มพาดผ่านประเทศไทย แถมยังมีรอยเลื่อนซุกตัวไม่ปรากฏข้อมูลการเกิดแผ่นดินไหวมาในรอบ 100 ปีเรื่องนี้กลายเป็นความกังวล “เมื่อเกิดแผ่นดินไหวขนาด 4.5 ความลึก 5 กม. สั่นสะเทือนไปในหลายจังหวัดของวันที่ 29 มิ.ย.2566” มีศูนย์กลางอยู่ที่ ต.ไผ่ล้อม อ.บางกระทุ่ม จ.พิษณุโลก ตามข้อมูลของกรมทรัพยากรธรณีระบุว่า “เป็นรอยเลื่อนซ่อนตัวอยู่ใต้ดิน (Hidden Fault)” นอกเหนือจาก 16 รอยเลื่อนมีพลังอยู่เดิม ทั้งยังต้องเจอรอยเลื่อนในประเทศเพื่อนบ้าน “มักเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่” แล้วแรงสั่นสะเทือนเข้ามาส่งผลกระทบในภาคเหนือของประเทศไทย และเฉพาะเดือน พ.ย.2566 เกิดแผ่นดินไหวระดับกลางมา 3 ครั้ง อย่างเช่นวันที่ 9 พ.ย. เกิดแผ่นดินไหวขนาด 4.7 จุดศูนย์กลาง อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน แรงสั่นสะเทือนถึง จ.เชียงใหม่ถัดมาในวันที่ 17 พ.ย. “เกิดแผ่นดินไหวขนาด 6.4 ใกล้เมืองเชียงตุงของเมียนมา” ทำให้ภาคเหนือและ กทม.รู้สึกถึงแรงสั่นไหว และในวันที่ 19 พ.ย. เกิดแผ่นดินไหวขนาด 4.0 ศูนย์กลาง ต.หนองลู อ.สังขละบุรี จ.กาญจนบุรีชาวบ้านพากันหนีตายจ้าละหวั่นกลางดึกนี้ ศ.ดร.เป็นหนึ่ง วานิชชัย หน.ศูนย์วิจัยแผ่นดินไหวแห่งชาติ ให้ข้อมูลว่าถ้าดูสถิติระยะยาว “ยังไม่พบความผิดปกติที่เพิ่มขึ้นหรือลดลงของแผ่นดินไหว” ทั้งในไทยและประเทศเพื่อนบ้าน เพราะตามสัดส่วนทั่วโลกวิเคราะห์การเกิดแผ่นดินไหวขนาด 4 จำนวน 10 ครั้ง มักจะเกิดแผ่นดินไหวขนาด 5 ขึ้นได้ 1 ครั้ง ถ้าเกิดแผ่นดินไหวขนาด 5 ขึ้น 10 ครั้ง มีโอกาสจะเกิดแผ่นดินไหวขนาด 6 ขึ้นไปได้ 1 ครั้งเช่นกันแต่หากย้อนดู “แผ่นดินไหวในเมียนมา” จุดที่เกิดนั้นค่อนข้างพบรอยเลื่อนมีพลังอยู่เยอะมากแล้วเคยเกิดขนาดกลาง (มากกว่า 5.0) บ่อยครั้ง เช่น ในปี 2554 เกิดขนาด 6.8 ในปี 2565 เกิดขนาด 5.9 ล่าสุด วันที่ 17 พ.ย.2566 เกิดขนาด 6.4 อันมีระยะทางห่างจาก อ.แม่สาย จ.เชียงราย ประมาณ 150 กม.สิ่งที่น่าสนใจ “แรงสั่นสะเทือนส่งไปได้ไกลมาก” ด้วยในช่วงที่ผ่านมานี้ “ทีมวิจัยแผ่นดินไหวฯ” ได้ติดตั้งอุปกรณ์วัดสั่นสะเทือนบนภาคพื้นดินอาคารสูง 15 ชั้นในหลายแห่ง เช่น “จ.เชียงราย” ที่มีระยะทางห่างจากศูนย์กลางแผ่นดินไหว 150 กม. วัดการสั่นไหวอาคารโยกด้วยความรุนแรง 100 มิลลิ-จี (ค่าความเร่งโน้มถ่วงของโลก) นับเป็นแรงสั่นสะเทือนสูงสุดที่เคยวัดได้ เพราะปกติระดับคนรู้สึกจะอยู่ที่ 1.5 มิลลิ-จี ดังนั้นคนอยู่ในอาคารสูงจึงรับทราบถึงแรงสั่นสะเทือนได้รุนแรง ในส่วน “จ.เชียงใหม่” ห่างจากศูนย์กลางแผ่นดินไหว 270 กม. วัดการสั่นไหวอาคารโยกได้ 16 มิลลิ-จี “กรุงเทพฯ”ห่างศูนย์กลางแผ่นดินไหว 1,100 กม. วัดการสั่นไหวอาคารโยก 2.3 มิลลิ-จีสิ่งนี้เป็นผลทดสอบ “การจับแรงสั่นสะเทือนภาคพื้นดิน” สำหรับแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าด้วยหลักการจับ “คลื่นปฐมภูมิ (P wave)” เป็นคลื่นตามยาวเดินทางเร็วกว่าคลื่นไหวสะเทือนอื่นไปถึงอุปกรณ์วัดประมาณ 15-30 วินาที ก่อนที่ “คลื่นทุติยภูมิ (S wave)” อันเป็นคลื่นอันตรายที่เคลื่อนที่ตามขวางก่อให้เกิดการสั่นไหวรุนแรงดังนั้น “เมื่อเกิดแผ่นดินไหวขนาดใหญ่” ระบบวัดสั่นสะเทือนภาคพื้นดินนี้จะทำหน้าที่ตรวจจับแรงสั่นสะเทือน ถูกส่งจากการเกิดแผ่นดินไหว “แจ้งเตือนประชาชนอยู่ในอาคารสูง” เพื่อหลบยังจุดปลอดภัยชั่วคราว แต่ไม่สามารถเคลื่อนย้ายอพยพออกนอกอาคารได้ เพราะเวลาการจับคลื่นแจ้งเตือนยังสั้นเกินไปเบื้องต้นระบบอยู่ระหว่างทดสอบติดตั้ง ในหลายพื้นที่เสี่ยงสำคัญสามารถมีประสิทธิภาพกับการเกิดแผ่นดินไหวระยะทางไกลๆ เช่น กรณีแผ่นดินไหวขนาด 6.4 ในเมียนมาที่ห่างจาก จ.เชียงราย 150 กม. ทำให้คลื่น P มาถึงตัวจับวัดก่อนคลื่น S 15-30 วินาที และกำลังจะพัฒนาให้เตือนล่วงหน้าก่อน 1 ชม. ด้วยการแจ้งเตือนผ่านโมบายโฟนประเด็น “การเกิดแผ่นดินไหวในประเทศเพื่อนบ้านส่งผลต่อรอยเลื่อนในไทยหรือไม่” ตามปกติแล้วรอยเลื่อนไม่ว่าจะพาดผ่านในไทยหรือเป็นรอยเลื่อนในเมียนมา สปป.ลาว แม้แต่จะเป็นรอยเลื่อนในจีนก็ตาม ล้วนมักจะมีการสะสมพลังงานจาก “เปลือกโลกเคลื่อนตัว” ก่อให้เกิดแรงเค้น หรือแรงเครียดสะสมอยู่ตลอดเวลา เมื่อใดก็ตาม “รอยเลื่อนที่สะสมพลังงานเกินขีดจำกัด” มักจะปลดปล่อยพลังงานเกิดแผ่นดินไหว “อันจะส่งผลเฉพาะต่อรอยเลื่อนใกล้ๆกัน” ทำให้เกิดแรงเค้นหรือแรงเครียดเพิ่มขึ้น แต่จะไม่มีผลต่อรอยเลื่อนห่างไกลกันเป็น 100 กม. หรือเป็น 1,000 กม. อย่างรอยเลื่อนเจดีย์สามองค์ จ.กาญจนบุรี ได้อย่างแน่นอนและมีคำถามต่อว่า “รอยเลื่อนในไทยมีโอกาสระเบิดหรือไม่?” แม้บ้านเรามีรอยเลื่อนพาดผ่านอยู่มาก แต่อัตราสะสมพลังก็เป็นไปอย่างช้าๆ โอกาสเกิดแผ่นดินไหวขนาด 7 ต้องใช้เวลาพันปีแล้วเชื่อว่าอดีตเกิดขึ้นมาแล้วเหตุนี้ “ไม่ควรชะล่าใจ” ด้วยรอยเลื่อนเล็กๆสะสมพลังงานไปอย่างช้าๆเคยเกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.3 มาแล้วในปี 1995 เมืองโกเบทางตะวันตกของญี่ปุ่น หรือปี 2016 เกิดแผ่นดินไหวขนาด 7.3 ใน จ.คูมาโมโตะ มาแล้ว“ประเทศไทยพบรอยเลื่อนมากว่า 10 กลุ่ม สามารถคำนวณได้ว่ามีโอกาสเกิดแผ่นดินไหวขนาด 7 ในทุก 100-200 ปี เพียงแต่ไม่รู้จะเกิดตอนไหน และบวกกับตำแหน่งรอยเลื่อนยังตรวจไม่พบอีกมาก ทำให้ต้องประเมินความเสี่ยงกำหนดเป็นกฎหมายให้ออกแบบอาคารสามารถต้านทานแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหว” ศ.ดร.เป็นหนึ่ง ว่าทว่าสำหรับ “การจัดทำแผนเสี่ยงภัยแผ่นดินไหว” ออกเป็นกฎกระทรวงมาตั้งแต่ปี 2540 ตามความใน พ.ร.บ.ควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 “กำหนดให้ออกแบบอาคารใน 10 จังหวัด” โดยเฉพาะภาคเหนือมีความเสี่ยงภัยสามารถต้านทานแผ่นดินไหว เน้นอาคารประเภทสาธารณะ อาคารเก็บวัตถุอันตราย หรืออาคารสูงกว่า 15 เมตรขึ้นไป แล้วในปี 2550 “ปรับปรุงกฎกระทรวงใหม่” ขยายบังคับครอบคลุมในกรุงเทพฯ และปริมณฑล อันเป็นแอ่งดินตะกอนขนาดใหญ่มีศักยภาพขยายความรุนแรงได้ดี แล้วปรากฏว่า จ.เชียงใหม่ และ จ.เชียงราย ก็เป็นแอ่งดินอ่อนสามารถขยายคลื่นแผ่นดินไหวถี่เฉลี่ย 1-3 วินาทีต่อรอบ ทำให้ต้องออกแบบการก่อสร้างอาคารให้ได้มาตรฐานกระทั่งปี 2564 “ปรับปรุงกฎกระทรวงครั้งที่ 3” กำหนดการรับน้ำหนัก ความต้านทานคงทนของอาคาร และพื้นดินรองรับอาคารต้านทานแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวขยายคลุม 40 จังหวัด โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงภัยสูงสุดอย่างภาคเหนือ 10 จังหวัด กำหนดให้อาคารสูง 3 ชั้นขึ้นไป ต้องออกแบบต้านทานแรงสั่นสะเทือนแผ่นดินไหวได้ฉะนั้นเชื่อว่า “เมื่อปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานอย่างถูกต้อง” ก็จะทำให้อาคารสร้างใหม่มีความปลอดภัย สามารถต้านทานแผ่นดินไหวได้อย่างเพียงพอ นำไปสู่การลดความสูญเสียต่อชีวิตและทรัพย์สินปัญหามีว่า “อาคารเก่าสร้างก่อนออกกฎหมาย หรือบางอาคารก็มิได้ออกแบบตามระเบียบ” อย่างเช่น โรงเรียนค่อนข้างมีโครงสร้างที่อ่อนแออยู่มาก โดยเฉพาะอาคารเรียนแบบชั้นล่างเปิดโล่ง มักเป็นจุดอ่อนถูกเขย่าจากแผ่นไหวแล้ว “พังได้ง่ายเป็นอันตรายต่อนักเรียน” ทำให้จำเป็นต้องเสริมกำลังเพื่อต้านทานแผ่นดินไหว ก่อนหน้านี้ “ทีมงานวิจัย” ได้คัดเลือกโรงเรียนใน จ.เชียงใหม่ จ.เชียงราย 7 แห่ง ทำการศึกษาหาวิธีเสริมกำลังอาคารด้วยการพอกด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก และการเสริมกำลังด้วยการค้ำยันที่ไม่โก่งเดาะ “ค่าใช้จ่าย 15% ของมูลค่าราคาอาคารสร้างใหม่” เพื่อลดความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับอาคารเมื่อเผชิญกับแผ่นดินไหวที่รุนแรงนั้นในส่วน “เขื่อนกักเก็บน้ำ” เรื่องนี้มีหลายเขื่อนถูกสร้างในยุคที่เรามีข้อมูลเกี่ยวกับแผ่นดินไหวน้อย ส่วนใหญ่มักไม่มีการประเมินศักยภาพของรอยเลื่อนมาประกอบการสร้างเขื่อนสมัยนั้น “แต่ด้วยตัวเขื่อนถูกสร้างให้แข็งแรงสูง” จนรับรองแรงแผ่นดินไหวได้ในระดับหนึ่ง แต่ไม่ควรไว้ใจเพราะหลายเรื่องเกิดขึ้นเกินกว่าคาดการณ์ไว้ได้แม้แต่ในหลายประเทศ “การมีเขื่อนขนาดใหญ่” จะคิดเผื่อเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้นเสมออย่าลืมว่า “รอยเลื่อนหลายกลุ่มในไทย” ยังไม่อาจตรวจหาเจอแล้วบางกลุ่มมีการสะสมพลังงานสามารถเกิดแผ่นดินไหวได้ทุกเมื่อเช่นนี้ “พื้นที่จุดเสี่ยง” หน่วยงานภาครัฐควรมีระบบเตือนภัย และแผนรับมือภัยพิบัติที่ไม่คาดฝันไว้ด้วยก็ดี.คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม