อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตประธานรัฐสภา นายชวน หลีกภัย เคยมีฉายาเป็นเจ้าของวาทะ “ใบมีดโกนอาบนํ้าผึ้ง” เคยใช้วาจาเชือดเฉือนคณะผู้นำเผด็จการในอดีต จนลือลั่นการเมืองไทย แต่ในการเตือนคณะผู้นำพรรคประชาธิปัตย์ชุดใหม่เมื่อวันก่อน นายชวนไม่ได้ใช้ “ใบมีดโกนอาบนํ้าผึ้ง”แต่กลับใช้ใบมีดโกน “อาบนํ้ากรด” เตือนคณะผู้บริหาร ปชป. ชุดใหม่ “อย่าเอาพรรคไปหากิน” นั่นก็คือ ห้ามใช้อำนาจหน้าที่แสวงหาผลประโยชน์โดยทุจริต ซึ่งเป็น “จุดยืน” สำคัญจุดหนึ่งของพรรคประชาธิปัตย์ ที่ประกาศอุดม การณ์ยึดมั่นในระบอบประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการและต่อต้านการทุจริตในโอกาสเดียวกัน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีและอดีตหัวหน้าพรรค ปชป. ได้กล่าวปราศรัยต่อที่ประชุมใหญ่ของพรรค ก่อนที่จะถอนตัวจากการชิงหัวหน้าพรรค และลาออกจากสมาชิกพรรค ตอนหนึ่งความว่า พรรคเป็นยิ่งกว่าวิกฤติ ปชป. ไม่ใช่พรรคประชาธิปไตย เรามาถึงจุดนี้ได้อย่างไรนายอภิสิทธิ์คงจะหมายถึงผลการเลือกตั้งทั้งสองครั้งที่ผ่านมา สะท้อนถึงความตกตํ่าของ ปชป. ผลการเลือกตั้ง 2562 ได้ สส.มา 53 คน การเลือกตั้ง 2566 ได้ สส.เข้ามาแค่ 25 คน พรรค ปชป. ไม่ได้ สส. กทม. แม้แต่คนเดียว ทั้งๆที่เคยชนะท่วมท้นหลายครั้ง เหตุที่แพ้เพราะไม่ยึดมั่นในจุดยืนจุดยืนของ ปชป. ได้แก่การยึดมั่นประชาธิปไตย ต่อต้านเผด็จการ และต่อต้านการทุจริต จุดยืนสำคัญที่นายอภิสิทธิ์ชอบอ้างคือ ต่อต้านเผด็จการ ถึงกับเคยลาออกจาก สส. และหัวหน้าพรรค เมื่อพรรคเข้าร่วมรัฐบาลที่สืบทอดอำนาจรัฐประหาร นายอภิสิทธิ์กล่าวว่าจุดเด่นอย่างหนึ่ง ปชป. คือพร้อมเป็นฝ่ายค้านถ้าเปรียบจุดยืนของพรรคการเมืองเหมือนกับการถือ “ศีลห้า” ของชาวพุทธ บางครั้ง ปชป. อาจเผลอทำผิดศีลของพรรค เช่น เข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคที่สืบทอดอำนาจจากรัฐประหาร เพราะ “กิเลส” ทางการเมือง นักการเมืองบางส่วนถือว่าต้องเป็นรัฐบาลให้จงได้ เพราะเป็นฝ่ายค้านอดอยากปากแห้งถ้าเผลอตัวไม่ฟังคำเตือนของอดีตนายกฯชวนที่ “ห้ามเอาพรรคไปหากิน” ยิ่งจะผิดศีลที่หนักหนาสาหัสยิ่งขึ้น เพราะการรับสินบนของนักการเมืองเป็นความผิดอาญาร้ายแรง มีโทษสูงสุดถึงประหารชีวิต เปรียบเทียบกับพระภิกษุผู้ต้องอาบัติปาราชิก จะขาดจากภิกษุทันที ไม่ว่าจะถูกจับได้หรือไม่ก็ตาม.คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม