นับเป็นช่วงท้าทายสำคัญกับ “การปฏิบัติการไล่ล่า น.ช.แป้ง วัย 37 ปี” ผู้ต้องขังคดีร้ายแรงแหกคุกหนีจากการควบคุมเรือนจำระหว่างรักษาตัวในโรงพยาบาล จ.นครศรีธรรมราช “เจ้าหน้าที่หลายหน่วยงานสนธิกำลังกัน” เพื่อออกไล่ล่าครวญหาตัวมาเกือบ 2 เดือน แต่ก็ยังคงไร้วี่แววทิ้งไว้แต่ปมปริศนาจดหมาย 7 ข้อ และคลิปกล่าวอ้างไม่ได้รับความเป็นธรรมจากอัยการ ตำรวจบางนาย และศาล รวมถึงเรือนจำถูกระบุขายของไม่เป็นธรรม ทรมานนักโทษ สะเทือนกระบวนการยุติธรรมจากสาเหตุใดนั้น รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล รองอธิการบดี และประธานกรรมการคณะอาชญาวิทยาฯ ม.รังสิต บอกว่า สำหรับกรณี “น.ช.แป้งหลบหนี” สะท้อนให้เห็นปัญหา 2 เรื่องสำคัญ คือ เรื่องแรก...“ช่องโหว่ของผู้ปฏิบัติงาน” อันเป็นที่แน่นอนแล้วว่าเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ควบคุมนักโทษรายนี้ “ปล่อยปละละเลยให้หลบหนี” จากผลการสอบสวนเบื้องต้นตำรวจตั้งข้อกล่าวหา ปอ.ม.157 มีคำสั่งออกจากราชการไว้ก่อน 3 คนส่วนตัวก็เชื่อว่า “เจ้าหน้ารัฐราชทัณฑ์รู้เห็นให้หลบหนี” เพราะมีข้อพิรุธหลายประการ เช่น ผู้ต้องขังมีอาการปวดฟันสามารถนัดหมอออกมารักษาที่โรงพยาบาลได้จาก “ผบ.เรือนจำอนุญาต” แต่ในทางปฏิบัตินักโทษมักมีปัญหาเกี่ยวกับฟันหลายคนเช่นกัน “ก็ไม่เคยได้หาหมอภายนอก” เมื่อออกมามีเจ้าหน้าที่ดูแลอย่างรัดกุมใกล้ชิดแต่ปรากฏว่า “หมอฟันเลื่อนนัด” ในระหว่างนำตัวกลับเรือนจำมีอาการหมดสติต้องนำตัวมาโรงพยาบาลใหม่ “จนถอดกุญแจพันธนาการหนีได้ง่ายดาย” พอหลังหลบหนีกลับแจ้งตำรวจล่าช้ากว่าปกติอีกสิ่งนี้ต้องตรวจสอบช่องโหว่ทุกระดับ “ไม่ใช่แค่พิสูจน์ลงโทษเจ้าหน้าที่เท่านั้น” แต่เพื่อจะได้เพิ่มมาตรการปิดช่องโหว่ของการปฏิบัติให้รัดกุมขึ้นเพราะไม่อยากเห็น น.ช.แป้งภาค 2 เกิดการเลียนแบบแหกคุกออกมาอีก รศ.พ.ต.ท.ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูลทว่าหากดูแผนประทุษกรรม “คนร้ายมีเครือข่ายวางแผนล่วงหน้าอย่างดี” สังเกตในระหว่างหนีออกโรงพยาบาลนั้น “ปรากฏบุคคลมารับตัว” มุ่งหน้าหนีไปเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเขาบรรทัด จ.ตรัง เพื่อหลีกเลี่ยงการติดตามจากกล้องวงจรปิดในเส้นทาง แล้วน่าจะรู้ดีว่าเขาบรรทัดเชื่อมต่อ 3 จังหวัด คือ จ.ตรัง จ.พัทลุง และ จ.สตูลเพื่อเป็นการตั้งหลัก 1-2 วันก่อนลงป่าลักษณะนี้ มีการศึกษาการทำงานของตำรวจในการสืบสวนติดตามคนร้าย “รู้วิธีหลบหลีกการจับกุม” แถมมีการสร้างเรื่องอาการปวดฟันจนนัดหมายทันตแพทย์ภายนอกได้ แล้วการติดต่อเครือข่ายในเรือนจำออกไปภายนอกก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นต้องใช้เวลาวางแผนไม่ต่ำกว่า 3 สัปดาห์แน่ๆถัดมาเรื่องที่สอง...“จดหมายและคลิปร้องเรียนไม่ได้รับความเป็นธรรม” ที่กล่าวอ้างบุคคลอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องกับ “การกระทำความผิด หรือทุจริตหาผลประโยชน์โดยมิชอบ” ไม่ว่าจะเป็นอัยการบางคน ตำรวจบางนายกลับไม่ถูกลงโทษ...? สิ่งนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดต้องคลี่คลายให้กระจ่างสู่สาธารณชนตั้งแต่ตรวจสอบข้อเท็จจริง “ข้ออ้างเจ้าหน้าที่รัฐทำตามที่ น.ช.แป้งออกมาบอกจริงหรือไม่” ทั้งตรวจสอบข้อกฎหมายรายละเอียด “สำนวนคดีปล้นผู้ต้องหา” ครั้งนั้นฟ้องผู้ใดบ้างแล้วคนไม่ถูกฟ้องเกิดจากเหตุใด ตามหลักแล้ว “อัยการ” สามารถนำสำนวนคดีมาดูย้อนหลังได้ แต่อาจต้องทำงานประสานกับ “ตำรวจ” เพราะข้อมูลกล่าวอ้างนั้นอาจต้องมีการสืบสวนเชิงลึกเพิ่มเติม แล้วนำผลการสอบสวนและการรวบรวมพยานหลักฐาน ทั้งในสำนวนคดีเดิมและสืบสวนใหม่ เพื่อเปรียบเทียบกับคำกล่าวของ น.ช.แป้งจริงเท็จประการใดโดยเฉพาะข้อกล่าวอ้าง “อัยการท่านหนึ่งพัวพันยาเสพติด” จนสังคมสงสัยอย่างมาก อาจต้องตรวจดูย้อนหลังว่าอัยการท่านนี้เคยสั่งฟ้องคดียาเสพติดกี่คดี และถูกยกฟ้องกี่คดี เพื่อหาสาเหตุข้อสงสัยให้ชัดเจนอย่างไรก็ดี กรณีหน่วยงานรัฐถูกร้องเรียนแล้วบุคคลในองค์กรตรวจสอบกันเอง “อาจส่งผลให้เกิดความคลางแคลงสงสัยคาใจ” ถ้าให้ดีควรตั้งบุคคลภายนอกขึ้นมาเป็นคณะกรรมการตรวจสอบ เพื่อให้เกิดความเป็นธรรม ความโปร่งใส อันจะสามารถเรียกความเชื่อมั่นศรัทธาให้สังคมไทยได้ดีกว่าเดิมตอนนี้จำเป็นอย่างยิ่งหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องต้องร่วมกันตรวจสอบข้อกล่าวอ้างในการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐให้เกิดความชัดเจนกระจ่างในทุกประเด็น เพื่อไม่ให้สิ่งที่ถูกกล่าวอ้างพูดลอยๆ โดยไม่มีหลักฐาน หรือไม่มีเหตุผลสนับสนุนมาทำลายกระบวนการยุติธรรมให้บิดเบี้ยวขึ้นมาได้ ตอกย้ำคล้ายกับ “คดีทายาทเครื่องดื่มชูกำลังขับรถหรูชนตำรวจเสียชีวิต” เดิมอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้องคดีจนเกิดกระแสครั้งใหญ่ “นายกฯสมัยนั้นออกพูดไม่โอเค” นำไปสู่การรื้อคดีกลับคำฟ้องคดีใหม่ ทั้งตั้ง อ.วิชา มหาคุณ เป็นประธานคณะกรรมการขึ้นมาตรวจสอบข้อเท็จในกระบวนการยุติธรรมด้วยกระทั่งเป็นเรื่องคลางแคลงใจสังคม “ตั้งคำถามกระบวนการยุติธรรมไทย 2 มาตรฐานจริงหรือไม่...?” แล้วมาถึงกรณี น.ช.แป้งออกแฉอัยการคนหนึ่งสั่งให้ชิงผู้ต้องหากลับไม่ถูกดำเนินคดี และสอดคล้องงานวิจัยระบุว่า “ความยุติธรรมในไทยมีปัญหา” เพราะต้องขึ้นอยู่กับสถานภาพทางสังคม และสถานภาพทางเศรษฐกิจถ้าหาก “ใครมีตำแหน่งหน้าที่การงานดีและมีความร่ำรวย” มักได้รับความยุติธรรมมากกว่ากลุ่มคนรากหญ้า สิ่งนี้ทำให้ประเด็นข้อเรียกร้องของ “น.ช.แป้งเป็นที่ได้รับความสนใจจากสังคมอย่างมาก” แต่ก็มิได้หมายความว่า “น.ช.แป้ง” จะเป็นฮีโร่กล้าออกมาเปิดโปงพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่รัฐแต่อย่างไรแล้วก็เชื่อว่า “น.ช.แป้งหลบหนีมาแล้ว” คงเป็นไปได้ยากที่จะมอบตัวที่เรียกว่า “สัจจะไม่มีในหมู่โจร” เพราะหากมอบตัวก็ถูกนำเข้าไปในเรือนจำเช่นเดิม แต่คราวนี้ต้องถูกจับตาเข้มงวดหลายเท่าด้วยซ้ำ จริงๆแล้วเรื่องนี้มีปัญหาจาก “กระบวนการยุติธรรมยังไม่ถูกปฏิรูปตามสังคมไทยคาดหวังไว้!” ด้วยประชาชนต้องการให้เจ้าหน้าที่รัฐทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ตรงไปตรงมา อันเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะมากกว่าประโยชน์ส่วนตน “โดยเฉพาะไม่รับอามิสสินจ้างจากผู้ใด” สิ่งเหล่านี้ถือเป็นหัวใจสำคัญมากๆเช่นกรณี “น.ช.แป้ง” ถ้าผู้ควบคุมปฏิบัติงานเต็มที่ไม่สนใจข้อเสนอแลกเปลี่ยนใดเป็นเรื่องยากที่จะหลบหนีได้ ในทางกลับกันหากเจ้าหน้าที่ในกระบวนการยุติธรรมสนแต่อามิสสินจ้างอาศัยช่องโหว่ระเบียบที่มีอยู่นั้นเพื่อเอื้อประโยชน์แก่ผู้กระทำความผิดเช่นนี้ “นับเป็นสิ่งที่เลวร้ายน่ากลัวในสังคมไทย” เพราะจะทำให้ผู้กระทำผิดไม่ถูกลงโทษตามกฎหมาย “เกิดความย่ามใจทำความผิดซ้ำซาก” แต่ในขณะที่เหยื่อได้รับผลกระทบกลับไม่ได้รับความเป็นธรรม ทำให้ประชาชนขาดความเชื่อมั่นนำมาสู่การไม่เข้ากระบวนการยุติธรรมหนำซ้ำอาจกลายเป็น “ศาลเตี้ยในสังคมไทย” ด้วยการจัดการกันเองอย่างกรณีเหตุกราดยิงที่ จ.นครราชสีมา ปี 2563 “ผู้ก่อเหตุไม่ได้รับความเป็นธรรมจากผู้บังคับบัญชา” นำไปสู่การไม่เชื่อมั่นต่อระบบจนทำร้ายผู้บังคับบัญชาด้วยตัวเอง หรือกราดยิง จ.หนองบัวลำภู “อดีตตำรวจเสพยาบ้า 1 เม็ด” แต่ถูกระบบให้ออกจากราชการ กระทั่งรู้สึกว่า “ไม่ได้รับความเป็นธรรม” แล้วพูดกับคนใกล้ชิดจะก่อเหตุให้รุนแรงกว่ากราดยิงโคราชด้วยซ้ำ สิ่งนี้ล้วนเกิดจากประชาชนไม่เชื่อมั่นในระบบ นำไปสู่ “การก่อเหตุร้ายแรง” ส่งผลกระทบต่อผู้บริสุทธิ์ประเด็นสำคัญยังสะท้อนถึง “ความล้มเหลวของรัฐ” ในการจัดการสิ่งเลวร้ายที่เกิดขึ้นในสังคมอันจะนำไปสู่ประชาชน และนักท่องเที่ยวขาดความเชื่อมั่นเกี่ยวกับทางด้านความปลอดภัย “กระทบไปต่อนักลงทุนต่างชาติ” ที่อาจย้ายฐานผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่มีความปลอดภัยสูงก็เป็นไปได้เมื่อเป็นเช่นนี้จำเป็นต้องปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมตามที่ถูกกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ 2560 ด้วยแนวทางคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) “ยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง” ไม่ว่าจะเป็นการคิดออกนโยบาย หรือมาตรการใดก็ตาม ประชาชนควรได้รับประโยชน์สูงสุดเสมอ แล้วความเป็นธรรมก็จะเกิดขึ้นในสังคมไทยตามมาย้ำว่าเรื่องนี้สำคัญที่กระทบความเชื่อมั่นของประชาชนต่อกระบวนการยุติธรรม “รัฐบาล” ต้องให้เร่งตรวจสอบทุกประเด็น เพื่อให้ความกระจ่างกับคนในสังคมแล้วความศรัทธาก็จะกลับคืนมาเอง...คลิกอ่านคอลัมน์ “สกู๊ปหน้า 1” เพิ่มเติม