“โลกร้อน”...นโยบายประเทศ ไทยไปทางไหน? อาจารย์สนธิ คชวัฒน์ ผู้ทรงคุณวุฒิด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ ชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อม มองว่า ข้อแรก...จะมีการประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศแห่งสหประชาชาติ ครั้งที่ 28 หรือ “COP 28”จัดขึ้นที่นครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ระหว่างวันที่ 30 พ.ย.- 12 ธ.ค.นี้ ประเด็นที่สำคัญคือติดตามเร่งรัดการมุ่งหน้าสู่การใช้แหล่งพลังงานสะอาดและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกให้ได้ก่อนปี 2030ข้อถัดมา... “นายกรัฐมนตรีประเทศไทย” แถลงต่อที่ประชุม COP26 กรุงกลาสโกว์ สหราชอาณาจักร เมื่อ 1 พ.ย.64 ว่า...ประเทศไทยจะยกระดับการแก้ไขปัญหาภูมิอากาศอย่างเต็มที่ด้วยทุกวิถีทางเพื่อให้ประเทศไทยบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2050บรรลุเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ได้ในปี 2065 และด้วยการสนับสนุนทางด้านการเงิน...เทคโนโลยีอย่างเต็มที่... เท่าเทียมสามารถยกระดับ NDC (แผนปฏิบัติการ) ขึ้นเป็นร้อยละ 40 โดยภาคพลังงานและภาคขนส่งต้องลดให้ได้ 266 ล้านตันจากที่ปล่อยออกมา ภาคอุตสาหกรรมต้องลดให้ได้ 2.25 ล้านตัน ภายในปี 2030... ภาคของเสียต้องลดก๊าซเรือนกระจกประมาณ 2.6 ล้านตัน...ส่วนภาคที่ท้าทายอย่างยิ่ง คือภาคการเกษตรต้องลดให้ได้ 1 ล้านตันข้อที่สาม...รายงานของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) ระบุประเทศไทยปล่อยก๊าซเรือนกระจกร้อยละ 0.8 ของโลก เป็นอันดับที่ 19 ของโลก โดย “จีน”...ปล่อยมากเป็นอันดับหนึ่ง รองลงมาคือ “สหรัฐอเมริกา” และสหภาพยุโรปโดยในปี 2565 ไทยมีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เฉพาะภาคพลังงานอยู่ที่ 247.7 ล้านตันคาร์บอนเพิ่มขึ้นจากเดิม 1.5%...จากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศไทยในปี 2559 อยู่ที่ 354 ล้านตันคาร์บอน ขณะที่ป่าไม้ดูดคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ได้เพียงประมาณ 91 ล้านตันข้อที่สี่... “CO2” มาจากการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติถึงร้อยละ 38 รองมาคืออุตสาหกรรมและขนส่งร้อยละ 28 และ 27 ตามลำดับ จากการคำนวณโดยองค์การก๊าซเรือนกระจกพบว่าหากจะให้เป็น “Net Zero” ของ “CO2” ในปีดังกล่าว...ภาคพลังงานต้องลดก๊าซเรือนกระจกลงให้ได้ปีละ 86 ล้านตันและ...ป่าไม้ต้องดูด CO2 ให้ได้ปีละ 120 ล้านตันกล่าวคือต้องเพิ่มต้นไม้เพื่อดูด CO2 จากที่มีอยู่แล้วให้ได้ปีละ 29 ล้านตัน...ซึ่งในงานวิจัยพบว่า “ต้นไม้ใหญ่” สามารถดูด CO2 ได้ไม่เกิน 6.09 ตัน CO2 ต่อไร่ต่อปี ดังนั้นจึงต้องปลูกต้นไม้ให้ได้ 4.7 ล้านไร่ต่อปีทุกปีข้อที่ห้า...สำหรับภาคพลังงานต้องปฏิรูปใหม่ทั้งหมดคือต้องใช้ “พลังงานทางเลือก” ให้ได้มากกว่าร้อยละ 50 และยานพาหนะต้องเป็นเครื่องยนต์ไฟฟ้าทั้งหมด ต้องยกเลิกการใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง ใช้ก๊าซธรรมชาติน้อยลง ใช้พลังงานแสงอาทิตย์ให้มาก ลดการเกิดขยะหรือนำมาใช้ซ้ำและรีไซเคิลให้มากที่สุดรวมทั้งต้องไม่ให้เกิดการเผาป่า การเผาในที่โล่งทุกแห่ง ส่วนสภาพแวดล้อมของเมืองต้องทำให้เป็นเมืองสังคมคาร์บอนด์ต่ำ (Low carbon society) ให้มากที่สุดข้อที่หก...เมื่อประเทศไทยไปแถลงให้สัญญาต่อนานาชาติแล้วจึงเป็นการผูกมัดที่ต้องทำให้ได้ภายใน 30 ปี...ซึ่งหากดูจากแผนปฏิบัติและการทำงานจริงแล้วในสภาพปัจจุบันแทบไม่มีทางเป็นไปได้เลย อาจารย์สนธิ คชวัฒน์ทั้งขาดการส่งเสริมให้ประชาชนใช้รถยนต์ไฟฟ้าซึ่งยังมีราคาแพงมาก (คันละเกือบ 2 ล้านบาท) และสถานีเติมไฟระหว่างทางมีน้อย, ถ่านหินยังเป็นสินค้าราคาถูกที่รัฐบาลยังส่งเสริมให้ใช้อยู่, การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนยังมีสัดส่วนที่น้อยมากรวมทั้ง “รัฐ” ยังส่งเสริมการกำจัด “ขยะ” ที่ปลายทางทั้งการเผาและฝังมากกว่าการจัดการที่ต้นทาง เช่น ไม่มีกฎหมายกำหนดให้ประชาชนแยกขยะที่ต้นทางเพียงแค่ขอความร่วมมือนอกจากนี้ยังกำหนดให้มีการนำเข้า “ขยะพลาสติก” จากต่างประเทศเพียงแต่เปลี่ยนชื่อเป็น “เศษพลาสติก” แทน เป็นต้น....ตอกย้ำ “ประเทศไทย” กับการคว้าสถิติผลิตขยะพลาสติกอยู่ในอันดับ 12 ของโลก และทิ้งลงทะเลมากที่สุดเป็นอันดับ 10 ของโลก ประเด็นนี้ อาจารย์สนธิ ให้สัมภาษณ์ทีมข่าวเฉพาะกิจไทยรัฐออนไลน์ไว้ว่า หากย้อนไปเมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2564 ครม.ได้มีมติ “แบน” พลาสติก 4 ชนิด และต้องไม่มีใช้ในปี 2565ประกอบด้วย 1.ถุงพลาสติกหูหิ้ว ความหนาน้อยกว่า 36 ไมครอน 2.กล่องโฟมบรรจุอาหาร (ไม่รวมโฟมกันกระแทกในภาคอุตสาหกรรม) 3.แก้วพลาสติกความหนาน้อยกว่า 100 ไมครอน 4.หลอดพลาสติกทั้งหมด (ยกเว้นในการใช้กับคนชราและคนป่วยเท่านั้น)“หมายความว่าในปี 2565 ต้องไม่มีใช้...แต่ทุกวันนี้ จะสิ้นปี 2566 อยู่แล้ว เรายังเห็นใช้กันเป็นปกติ...สิ่งที่เกิดขึ้นคือมติ ครม.ที่ไร้ประสิทธิภาพ หาเจ้าภาพในการทำงานไม่ได้ สิ่งที่กรมควบคุมมลพิษทำคือการดูแลว่าผลดังกล่าวเป็นอย่างไร แต่คนที่จะบังคับใช้เรื่องนี้กลับไม่มี”ดังนั้นเราจึงเห็นว่า...ตามตลาด ร้านค้า โดยเฉพาะตลาดปลายังใช้กันหมด...สิ่งที่เกิดขึ้นตามห้างใหญ่ๆไม่มีการแจกถุงพลาสติก แต่มีการขายในราคาแตกต่างกัน หากเป็นในต่างประเทศไม่สามารถทำแบบนั้นได้ หากมีเขาจะเก็บภาษีเพิ่ม...หมายความว่าหากห้างไหนให้ถุงพลาสติกที่ “รีไซเคิล” ไม่ได้ แบบ “ใช้แล้วทิ้ง” ต้องจ่ายภาษี ยกตัวอย่างในยุโรป พลาสติก 0.8 ยูโรต่อพลาสติก 1 กก.ด้วยเหตุนี้สินค้าที่จะไปขายในยุโรปได้ หากมีพลาสติกจะต้องเป็นพลาสติกที่สามารถรีไซเคิลได้เกือบ 100% ดังนั้นเขาจึงไม่ใช้พลาสติกแบบ Single-use ถ้าจำเป็นต้องแจกถุง เขาจะให้ถุงกระดาษ หรือถุงที่สามารถย่อยสลายได้หากจะพูดกันตรงๆสาเหตุที่ “ไทย” กับ “ยุโรป” มีผลลัพธ์ที่แตกต่างกัน เพราะประเทศไทยเลือกใช้วิธีการ “ขอความร่วมมือ” แต่ยุโรป คือ “กฎหมาย”การที่ไทยใช้คำว่า “ขอความร่วมมือ” จึงกลายเป็นช่องโหว่ ร้านค้าปลีกยักษ์ หรือห้างก็สบายๆเลย เรียกว่า...ให้ความร่วมมือลดจ่ายถุงพลาสติกกลายเป็น “ลดค่าใช้จ่าย” ไปด้วย แถมขายได้อีกกลายเป็นคำถามว่า “เอื้อประโยชน์” ให้กับเหล่าห้างหรือไม่...”สิ่งที่ภาครัฐควรทำคือการออกกฎหมายเป็นเรื่องเป็นราว คือต้อง “ไม่ผลิต” ถุงพลาสติกที่ใช้แล้วทิ้งเลย หรือเปิดทางเลือกคือให้ผลิต แต่ต้องเสียภาษีมากขึ้น“ถึงแม้ว่าต้นทุนถุงพลาสติกย่อยสลายได้มีราคาแพงกว่าก็จริง... แต่ภาครัฐก็ต้องหาวิธีการจูงใจ ประเด็นปัญหาคือรัฐบาลส่งเสริมหรือไม่ คือมีมติ (ครม.) แต่ไม่มีมาตรการที่ชัดเจน มันเลยทำไม่ได้”“ประเทศไทย” ต้องจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง เริ่มจากตั้งคณะกรรมการให้ชัดเจนมีเจ้าภาพ ทุกวันนี้เรายังเห็น...โฟม ถุงบรรจุอาหารเต็มบ้านเต็มเมือง ทางออกของเรื่องนี้คือต้องไม่ผลิต ใครผลิตต้องจ่าย “ภาษีมหาศาล”.คลิกอ่านคอลัมน์ "สกู๊ปหน้า 1" เพิ่มเติม