ขอปรบมือดังๆให้นายชาดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่สั่งให้ลูกเขยลาออกจากนายกเทศมนตรีเทศบาลตำบลตลุกดู่ จังหวัดอุทัยธานี หลังจากถูกตำรวจปราบปรามหลายหน่วยจับกุมตัวพร้อมด้วยปลัดเทศบาล และผู้ช่วยช่างโยธาเทศบาล ในข้อหาเรียกรับสินบนจากผู้รับเหมาก่อสร้างผู้เสียหายเปิดเผยว่า ตนเป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง ประมูลโครงการก่อสร้างท่อน้ำประปาในเขตเทศบาลได้ 2 แห่ง แต่มีโทรศัพท์ลึกลับข่มขู่ให้ถอนตัว แต่ตนไม่ยอม และมีกลุ่มผู้มีอิทธิพลในจังหวัดขัดขวางไม่ให้ร้านขายอุปกรณ์การก่อสร้าง ต่อมานายวีระชาติ รัศมี เรียกตนเข้าพบ 3 ครั้งนายวีระชาติเป็นเขยนายชาดา และเป็นนายกเทศมนตรี ต.ตลุกดู่ เสนอขอเงิน 1 ล้านบาท เพื่อแลกกับโครงการก่อสร้าง แต่มีการต่อรองลดเหลือ 6 แสนบาท และนัดรับเงินที่หน้า ธ.ก.ส. เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา แต่ถูกหน่วยปราบปรามตำรวจ ปปป. ป.ป.ท. และ ป.ป.ช. จับกุมได้ 5 คนผู้ต้องหา 3 คน ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ และมีนายวีระชาติรวมอยู่ด้วย โดนข้อหาฐานเป็นเจ้าพนักงาน เรียกรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดโดยมิชอบ น่าจะเข้า ป.อาญามาตรา 149 ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปีถึง 20 ปี หรือจำคุกตลอดชีวิต หรือประหารชีวิต อีก 2 คน โดนข้อหาสนับสนุนเจ้าพนักงานนอกจากจะเป็น รมช.มหาดไทยแล้ว นายชาดายังได้รับมอบหมายให้เป็นหัวหน้าคณะทำงาน เพื่อกวาดล้างผู้มีอิทธิพล และเคยให้สัมภาษณ์ “ทีมข่าวการเมืองไทยรัฐ” ระบุการกระทำที่ถือเป็น “ผู้มีอิทธิพล” เช่น การฮั้วประมูล การค้ามนุษย์ ฯลฯ นายชาดาประกาศว่า กรณีแบบกำนันนก “จะมีในยุคที่ผมอยู่มหาดไทยไม่ได้”การที่นายชาดาสั่งให้ลูกเขยลาออกจากนายกเทศมนตรี เพื่อให้เลือกตั้งนายกฯใหม่ได้ทันที โดยไม่ต้องรอผลคดี ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง นอกจากจะช่วยกวาดล้างผู้มีอิทธิพลแล้ว ยังอาจช่วยนายกรัฐมนตรีที่ประกาศ “จะฟื้นฟูหลักนิติธรรม” ในการปกครองประเทศให้โปร่งใส มีประสิทธิภาพสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้ประชาธิปไตยไทยไม่รู้จักโต แม้จะอายุเกือบร้อยปี เพราะไม่ยึดมั่นใน “หลักนิติธรรม” ในการปกครองประเทศ ไม่ยึดถือกฎหมายเป็นหลัก แต่ยึดตัวบุคคลเป็นหลักสำคัญ ยึดหลักอุปถัมภ์ เพื่อนพ้องน้องพี่ ที่ใดไร้หลักนิติธรรม แม้จะมีการเลือกตั้งปีละร้อยครั้ง ก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย.คลิกอ่านคอลัมน์ "บทบรรณาธิการ" เพิ่มเติม